เมื่อวันที่ 25 ก.พ. ที่ประเทศเวียดนาม นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.ต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ถึงการเยือนประเทศเวียดนามอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 24-25 ก.พ.2568 ว่า ได้มีโอกาสเข้าพบและคารวะนายฝ่าม มิงห์ จิ๋งห์ นายกรัฐมนตรีเวียดนาม และนายบุ่ย แทงห์ เซิน รมว.ต่างประเทศเวียดนาม ซึ่งรัฐบาลเวียดนามได้ขอบคุณและชื่นชมบทบาทรัฐบาลไทยที่ริเริ่มปราบปรามอาชญากรรมข้ามพรมแดน ทั้งสแกมเมอร์และคอลเซ็นเตอร์ ผ่านการผลักดันความร่วมมือบนเวทีประชุมระหว่างประเทศต่างๆ และดึงประเทศเมียนมาร่วมแก้ไขปัญหานี้กับหลายประเทศที่ได้รับผลกระทบ เพื่อแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ จนสามารถช่วยเหยื่อที่ถูกหลอกลวงไปได้ด้วย จึงขอบคุณรัฐบาลไทยที่ให้ความช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรมเหยื่อจากหลายประเทศ สามารถกลับประเทศได้อย่างปลอดภัย

นายมาริษ กล่าวอีกว่า ในการที่ตนเยือนเมียนมาอย่างเป็นทางการ ได้เข้าคารวะ พล.อ.อาวุโสมิน ออง ไลง์ ผู้นำเมียนมา รวมถึงพูดคุยถึงผลการดำเนินมาตรการทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งทางการเมียนมายืนยันว่าพร้อมสนับสนุนและร่วมมือกับไทย อีกทั้งขอบคุณรัฐบาลไทยที่ดำเนินการชัดเจน อีกทั้งได้หารือถึงการแก้ปัญหาฝุ่นพีเอ็ม 2.5 การบริหารจัดการน้ำในกรอบลุ่มน้ำโขง รวมถึงการเจรจาให้รัฐบาลเมียนมาปล่อยตัว 4 ลูกเรือไทยที่ยังถูกคุมตัวอยู่ แต่เมียนมาก็ยืนยันว่าจะต้องเป็นไปตามขั้นตอน เพราะมีประเด็นทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย แต่ก็ยืนยันพร้อมให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่

นายมาริษ กล่าวว่า ก่อนที่จะมีการประชุมไตรภาคีระหว่างไทย จีน และเมียนมานั้น ตนจะประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทย อาทิ กระทรวงมหาดไทย ฝ่ายความมั่นคง กระทรวงกลาโหม เพื่อทำความเข้าใจกับการให้ความช่วยเหลือเหยื่อที่ถูกล่อลวงตามขั้นตอนมนุษยธรรม และผู้ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการตัดไฟ ทั้งที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการกระทำผิด สำหรับการปราบปรามอาชญากรรมข้ามพรมแดน สแกมเมอร์ และคอลเซ็นเตอร์ เป็นบทบาทของประเทศไทย เพราะเป็นนโยบายหลักของรัฐบาล และต้องมั่นคงในผลประโยชน์ของประเทศชาติ ทั้งนี้เป็นบทบาทของรัฐบาลไทยที่ได้รับการชื่นชมจากทุกประเทศตามกลไกและยุทธศาสตร์ขั้นตอนการแก้ปัญหา เพื่อให้เมียนมาและประเทศเพื่อนบ้านได้ร่วมกันแก้ปัญหานี้อย่างเป็นระบบ และเป็นรูปธรรม