เมื่อวันที่ 4 มี.ค. ที่รัฐสภา ในการประชุมวุฒิสภา ที่มีนายบุญส่ง น้อยโสภณ รองประธานวุฒิสภา คนที่สอง ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม ซึ่งพิจารณาญัตติให้วุฒิสภาพิจารณาด้านกระบวนการยุติธรรมและการบังคับใช้กฎหมาย  โดย พ.ต.อ.กอบ อัจนากิตติ สว. อภิปรายว่า บริบทของคณะกรรมการสอบสวนคดีพิเศษ ทำคดีอาญาทั่วไปให้เป็นคดีพิเศษ เพราะมีการครอบงำทางการเมือง เพราะมีบุคคลที่เป็นคณะกรรมการพิเศษมาจากฝ่ายการเมือง ตั้งแต่ นายกฯ รมว.ยุติธรรม และผู้ทรงคุณวุฒิที่อยู่ในอำนาจแต่งตั้งโดยรัฐมนตรี เมื่อพิจารณาหลักของการทำงานฝ่ายการเมืองเข้ามาครอบงำและแทรกแซงทางการเมืองหรือไม่

“กรมสอบสวนคดีพิเศษใช้กฎหมายตามอำเภอใจและบิดผันอำนาจมาตั้งแต่ปี 2547 จนถึงปัจจุบัน เพราะผู้ที่เป็นพ่อมดในตะเกียงวิเศษ ไม่รู้ว่าฝ่ายการเมืองคนไหนปล่อยยักษ์ตัวนี้ออกมา และมาโลดแล่นในประเทศทำให้ประชาชนอกสั่นขวัญแขวน ความเสมอภาค ความเท่าเทียมเป็นนามธรรม คนที่ปล่อยยักษ์ออกมาต้องรับผิดชอบ โดยเฉพาะดีเอสไอ ต้องรับผิดชอบ เพราะกลัดกระดุมเม็ดแรกผิดมาตั้งแต่ต้น” พ.ต.อ.กอบ อภิปราย

พ.ต.อ.กอบ กล่าวด้วยว่า พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ก่อนหน้านั้นเป็นอธิบดีดีเอสไอลำดับต้นๆ ต่อจากอธิบดีคนแรกซึ่งปัจจุบันถูกจำคุกในศาล และตอนนี้ พ.ต.อ.ทวี กลับมาเป็น รมว.ยุติธรม กฎหมายคดีพิเศษ มาตรา 11 บอกว่า ให้ใช้กฎหมายการปฏิบัติราชการทางปกครอง โดยอนุโลมในคดีพิเศษ ตนขอถามว่าได้ทำหรือไม่ กับการออกข้อบังคับที่มีเหตุผลที่จะเลือกคดีใดเป็นคดีพิเศษหรือไม่ มีเพียงการออกมาคำสั่งที่สอง แต่ยังรับเป็นคดีพิเศษหลายคดี ตนขอยกตัวอย่างเช่น การรับคดีอุ้มฆ่านักธุรกิจชาวต่างประเทศ เหตุเกิดปี 2536 และดีเอสไอ รับเป็นคดีพิเศษ ปี 2547 พบการฟ้องร้องเป็นคดีจนถึงปัจจุบันและศาลฎีกายกฟ้อง ทั้งนี้รัฐมนตรีต่อสู้เป็นจำเลยขณะนี้ แบบนี้ถือว่าเป็นความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์หรือไม่ 

“ท่านทำอะไรไม่คิดถึงประชาชน ไม่รู้หรือไม่ปากท้องประชาชนเดือดร้อน แต่ท่านกลับเอาทรัพยากรเอามาเป็นประโยชน์ส่วนตนและแบ่งประโยชน์ให้คนต่างสี คือสีเทา นอกจากนั้นคดีร้องเรียนในดีเอสไอ ที่เข้าไปค้นโกดังแห่งหนึ่งยึดสิ่งของและเรียกสินบนเป็นเงินจำนวน 1ล้านบาท คดีอยู่ในชั้นศาล ขอถามว่า แบบนี้ปฏิบัติหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  อย่างไรก็ดีในการพิจารณาว่าจะรับคดีฮั้วเลือก สว. เป็นคดีพิเศษหรือไม่ บอร์ดดีเอสไอไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย แต่หากเห็นด้วยต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น” พ.ต.อ.กอบ อภิปราย

ด้าน นายสิทธิกร รงยศ สว. อภิปรายพร้อมภาพที่มีเขียนข้อความว่า ขบวนการหากินกับคุก ว่า มีความไม่เท่าเทียมกันในเรือนจำ ยุคที่พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม 2 ปี ปรากฏแน่ชัดว่าไม่มีจริยธรรม คุณธรรม ไม่มีความซื่อสัตย์ปรากฏในสังคมเป็นที่ยอมรับ ทั้งนี้ตนได้รับข้อมูลมาจากผู้หวังดีเสนอข้อมูลราชทัณฑ์มาให้ตน มีตัวละคร ชื่อ สมเด็จในกรมราชทัณฑ์และเรือนจำ โดยนักโทษที่เข้าเรือนจำเมื่อปรับตัวได้จะมีลูกน้องเข้ามาบอกว่าจะอำนวยความสะดวกให้ และจะพาไปพบสมเด็จ ที่มีพรรษาในการติดคุก เป็นมือไม้ให้เจ้าหน้าที่ที่ทุจริต เช่น การร้องขอความสะดวกในการอยู่ กิน ซึ่งปกติเรือนจำจะให้ญาติฝากเงินกับผู้ต้องขัง 9,000 บาท แต่หากผ่านสมเด็จ จะได้อภิสิทธิ์ฝากเงิน และกินอยู่ในเรือนจำ ซึ่งมีจำนวนหลักหมื่นและหลักแสน

“นักโทษให้ญาติโอนเงินผ่านบัญชีม้าให้กับเจ้าหน้าที่ หลังจากได้รับเงิน นักโทษจะได้ใช้ชีวิตประจำวัน มีนมเท่ากับเงิน 10 บาท กาแฟฟรอยแทนเงิน 100 บาท  แต่ระเบียบไม่เกิน 9,000 บาท หากผ่านสมเด็จใช้ได้ไม่อั้น และหากผ่านอนุมัติจะมีการเล่นพนันในเรือนจำ โดยมีนมกล่อง หรือกาแฟฟรอย เป็นชิปเล่นพนันในเรือนจำ” นายสิทธิกร กล่าว

นายสิทธิกร กล่าวด้วยว่าฤดูกาลย้ายแดนของนักโทษ หากผ่านสมเด็จจะได้รับการอำนวยความสะดวกทุกอย่าง ไม่ต้องย้าย และหากต้องการป่วยทิพย์ โอนเงินผ่านบัญชีม้า และมีการเบิกเงินสดไปดูแลเจ้าหน้าที่ ให้อำนวยความสะดวกป่วยทิพย์ เงินหมุนเวียนสมเด็จในแต่ละแดน เฉลี่ย 10-20 ล้านบาท “ขอถามว่า พ.ต.อ.ทวี  เป็นความจริงหรือไม่ รวมถึงการใช้โทรศัพท์ ผ่านสมเด็จจะไม่มีการกีดกัน ทั้งนี้ที่รับข่าวสารว่ามีนักโทษเทวดา ที่เข้าเรือนจำไม่กี่ชั่วโมง จะมีซูเปอร์สมเด็จ จัดการ จัดระบบให้ ขบวนการที่เล่ามาเรื่องสมเด็จเกิดในยุคนี้ ซึ่งยุคนี้ไม่มีคุณธรรม จริยธรรม ไม่เท่าเทียมกันในหมู่ผู้ต้องขัง มีอภิสิทธิ์ชน” นายสิทธิกร อภิปราย.