ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข จัดการประชุมวิชาการด้านโรคจากการประกอบอาชีพ และสิ่งแวดล้อมระดับนานาชาติ ครั้งที่ 4 (4th International Conference on Occupational and Environmental Diseases – 4th ICOED) ระหว่างวันที่ 5 – 7 มีนาคม 2568  ที่ โรงแรมแกรนด์ริชมอนด์ สไตลิช คอนเวนชั่น จังหวัดนนทบุรี นายแพทย์ดิเรก ขำแป้น รองอธิบดีกรมควบคุมโรค เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุม พร้อมกล่าวถึงความสำคัญของการเฝ้าระวังและควบคุมโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ส่งผลต่อสุขภาพของประชาชนและคนทำงาน การประชุมครั้งนี้ถือเป็นเวที ในการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ทางวิชาการ ประสบการณ์ และแนวทางปฏิบัติที่ดี ในการเฝ้าระวัง ป้องกันควบคุมโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม ทั้งในระดับประเทศและนานาชาติ อันนำไปสู่การยกระดับการดำเนินงานด้านโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม ร่วมกับองค์การระหว่างประเทศ ได้แก่ องค์การอนามัยโลก (WHO), องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO), สำนักงานเลขาธิการอาเซียน (ASEAN Secretariat) รวมถึงนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยชั้นนำของโลก นอกจากนี้ ยังมีการนำเสนอผลงานวิชาการ ทั้งในรูปแบบบรรยายและโปสเตอร์ เพื่อส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรม การป้องกันโรคและการรักษาสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน​

นายแพทย์ดิเรก ขำแป้น กล่าวว่า “การเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจดิจิทัลและสภาพแวดล้อมส่งผลต่อสุขภาพแรงงานและประชาชนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ กรมควบคุมโรคจึงให้ความสำคัญกับ การพัฒนากลไก เฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม โดยอาศัยความร่วมมือ จากหน่วยงานทั้งภาครัฐ เอกชน และองค์กรระหว่างประเทศ เพื่อให้ประชาชนมีสุขภาพที่ดีและสามารถทำงาน ในสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัยได้อย่างยั่งยืน”

แพทย์หญิงฉันทนา ผดุงทศ ผู้อำนวยการกองโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม กล่าวเพิ่มเติมว่า “จากสถิติย้อนหลัง 3 ปี (2565 – 2567) พบว่าโรคจากการทำงานยังคงเป็นปัญหาสำคัญ โดยในปีที่ผ่านมามีรายงานผู้ป่วยโรคปอดจากการทำงานเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 20 โรคระบบกระดูกและกล้ามเนื้อจากการทำงานกว่าร้อยละ 35 และโรคจากการสัมผัสสารเคมีอันตรายมากกว่า 10,000 รายทั่วประเทศ นอกจากนี้ จากข้อมูลของกองทุนเงินทดแทน พบว่ามีผู้ประสบอุบัติเหตุจากการทำงานเฉลี่ยกว่า 70,000 รายต่อปีและมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 500 ราย โดยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา จำนวนผู้ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุในสถานประกอบการเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 15 นอกจากนี้ ปัญหามลพิษทางอากาศ และน้ำ ยังคงเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อสุขภาพประชาชน โดยเฉพาะโรคทางเดินหายใจจากฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในพื้นที่เขตอุตสาหกรรมและเมืองใหญ่ รวมถึงผลกระทบจากสารเคมีปนเปื้อนในแหล่งน้ำที่ส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันของประชาชนในระยะยาว

การประชุมครั้งนี้มุ่งเน้นการแลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับมาตรการป้องกัน พร้อมนำเสนอเทคโนโลยีใหม่ และการรูปแบบการดูแลสุขภาพ รวมถึงกลุ่มแรงงานอิสระที่เพิ่มมากขึ้น ภายหลังสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่ผ่านมา เช่น กลุ่มไรเดอร์ส่งอาหาร พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ เป็นต้น ที่มีความเสี่ยงสุขภาพ เพื่อการกำหนดนโยบายลดโรคจากการทำงานและโรคจากสิ่งแวดล้อมที่สอดคล้องกับวิถีชีวิต (lifestyle) และเน้นการดูแลสุขภาพตนเองได้ ตลอดระยะเวลา 3 วันของการประชุม ยังมีการจัด นิทรรศการด้านอาชีวอนามัยและสิ่งแวดล้อม มอบรางวัล“สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดดีเด่น” ด้านการควบคุมโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม เพื่อเป็นการเชิดชูเกียรติแก่หน่วยงานที่มีผลการดำเนินงานโดดเด่น และมีความมุ่งมั่นในการพัฒนางานด้านการควบคุมโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อมมาอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้าน Digital Health สำหรับป้องกันและควบคุมโรคในสถานประกอบการ การประชุมวิชาการครั้งนี้นับเป็นโอกาสสำคัญในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ด้านอาชีวอนามัยและสิ่งแวดล้อมของประเทศไทยให้ก้าวสู่มาตรฐานระดับสากลอย่างยั่งยืน