เมื่อวันที่ 12 มี.ค. 2568 ที่องค์การทหารผ่านศึก (อผศ.) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ในฐานะนายกสภาทหารผ่านศึก แถลงภายหลังเป็นประธานการประชุมสภาทหารผ่านศึก โดยกล่าวถึงความคืบหน้าการสืบสวนกรณีคดีทุจริตยาโรงพยาบาลทหารผ่านศึก ว่า เรื่องนี้สำคัญมาก เพราะสังคมกำลังเฝ้ามองอยู่ และเราได้รับข่าวสาร และมีผู้แทนราษฎรเขียนโน้ตถึงตน จึงได้สั่งการให้ตรวจสอบ จะเห็นว่าเราไม่ได้นิ่งนอนใจ และตอบสนองทันที พร้อมตั้งกรรมการสอบ และได้เรียกผู้อำนวยการองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก (ผอ.ผอศ.) มาคุย ซี่งการสอบสวนขั้นต้นถือว่าคืบหน้าไปด้วยดี 

นายภูมิธรรม กล่าวอีกว่า ขณะนี้กำลังตรวจสอบผู้ที่อยู่ในเครือข่าย ว่าป่วยเป็นโรคนั้นจริงหรือไม่ ซึ่งก็มีการจ่ายยาให้ อีกทั้งมีผู้ป่วยเบาหวาน แต่พอไปตรวจเลือดแล้วก็พบว่าไม่ได้เป็น ส่วนที่ป่วยจริง ๆ ก็มี ตอนนี้ก็สอบปากคำไปเกือบ 150 คนแล้ว และมีการไปสอบเพิ่มเติมที่ จ.ลพบุรี และสมุทรปราการ ซึ่งเป็นสถานที่ที่มีรายชื่อเครือข่ายปรากฏอยู่ นอกจากนี้ ยังมีคนที่ไม่ได้อยู่ในรายชื่อ แต่อาสามาให้ข้อมูลอีก 30 กว่าราย นี่เป็นเฉพาะจุดแรกที่เริ่มสอบสวน ซึ่งตนได้เชิญให้เจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เข้ามาร่วมตรวจสอบ เพราะเราต้องดูเรื่องเส้นทางการเงินด้วย ซึ่งได้รับความร่วมมืออย่างดี คาดว่าสิ้นเดือนมีนาคมนี้ จะสามารถออกหมายจับได้ เพราะตอนนี้ได้พบเครือข่ายและผู้เกี่ยวข้องแล้ว แต่ขอให้ชัดเจนออกหมายจับก่อน ค่อยว่ากัน 

“มีทั้งผู้เกี่ยวข้องระดับสูงและเครือข่ายต่าง ๆ รวมทั้งหัวหน้าหน่วย หัวหน้าส่วนที่เป็นเครือข่ายในการดำเนินการ ดังนั้นมีนาคมนี้ น่าจะจบ และจะมีการชี้แจงสื่อมวลชนชัดเจนขึ้น ขณะเดียวกัน เราก็สอบต่อด้วยอีกทางว่าหมดเครือข่ายนี้หรือยัง หรือมีต่อ เพราะเราพบหลายจุดซึ่งอาจจะอยู่ในเครือข่ายเดียวกัน ก็จะขอเวลาดำเนินการ ซึ่งตั้งแต่เป็นข่าว เราก็เริ่มดำเนินการเลย คิดว่าภายใน 1 เดือน ก็คงจบเรื่องนี้ชัดเจน” นายภูมิธรรม กล่าว

เมื่อถามอีกว่าถ้ารอจนถึงสิ้นเดือนมีนาคม 2568 จะมีการทำลายพยานหลักฐานหรือไม่ เพราะขณะนี้ยังไม่มีคำสั่งให้พักงานเจ้าหน้าที่บางส่วน นายภูมิธรรม กล่าวว่า เดี๋ยวรอ เพราะมันมีหลายหน่วย พร้อมยืนยันว่า หลักฐานทำลายไม่ได้ เพราะเราเข้าไปกำชับเข้มงวดในการตรวจสอบอยู่แล้ว อีกทั้งหลักฐานที่เราได้มาก็พอสมควร กำลังหารายละเอียดให้ครบถ้วน จึงขอไม่เปิดเผยรายละเอียดมากกว่านี้ เพราะอยู่ในกระบวนการ แต่ยืนยันว่าสิ้นเดือนมีนาคม 2568 มีความชัดเจน 

เมื่อถามต่อว่านอกจากโรงพยาบาลทหารผ่านศึกแล้ว อาจมีโรงพยาบาลรัฐอื่น ๆ ที่กระทำในลักษณะนี้เช่นกันหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า ขณะนี้พบที่โรงพยาบาลทหารผ่านศึกแห่งเดียว แต่ก็กำลังสอบต่อว่าจะมีแค่นี้ หรือจะมีเพิ่มอีก ซึ่งการตรวจสอบจะเห็นความชัดเจนมากน้อยแค่ไหน ก็ต้องดูอีกที จึงยังไม่ควรพูดอะไรที่ยังไม่ชัดเจน 

เมื่อถามอีกว่ากรณีกรอบระยะเวลาในการตรวจสอบ เพราะมีการแบ่งทำงานถึง 5 ทีม ทีมละ 100 คน นายภูมิธรรม กล่าวว่า ตอนนี้มีการแยกสอบทั้ง ป.ป.ท. ปปง. อผศ. และตำรวจ เพราะเราได้แจ้งความไว้ชัดเจนแล้ว ซึ่งผลที่ออกมาจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนแน่นอน 

เมื่อถามอีกว่าขบวนการทำกันมาเป็น 10 ปีแล้ว การตรวจสอบจะย้อนหลังไปถึงผู้ที่เกษียณไปแล้วหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า เขาทำมา 10 ปีแล้วจริงหรือไม่ ตอบไม่ได้ แต่เราพบว่าในขณะนี้ต้องทำให้ชัดเจนก่อน ส่วนถ้าสอบแล้วต่อไปถึงไหน เราก็ต้องไปตรงนั้น เพราะความผิดมันขึ้นอยู่กับอายุความ และความเป็นจริง 

“ถ้าความเป็นจริงมันถึง เราก็ต้องเอาให้ถึง และตนได้พูดในที่ประชุมว่าเราเป็นองค์กรที่เกี่ยวข้อง และเป็นประโยชน์ต่อทหารหาญที่สละชีพ และทุพพลภาพจากการสู้รบเพื่อปกป้องประเทศชาติ แทนที่เงินเหล่านี้จะไปช่วยพวกเขาได้มากขึ้น กลับถูกเบียดบังไป เราก็ต้องดำเนินการ จึงบอกเจ้าหน้าที่ไปว่า ขอให้ดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา และเต็มที่ เข้มงวด ให้ถูกต้องตามระเบียบกฎหมาย และข้อบังคับอย่างเคร่งครัด ได้อย่างไรก็เอาอย่างนั้น ก็จะเป็นโอกาสที่จะทำให้สังคมเชื่อมั่น ในสิ่งที่เราเป็นอยู่ รวมถึงได้เสนอรายละเอียดเพิ่มเติมว่า ขอให้ไปวางระบบดูแลที่เข้มงวดกว่านี้ เพราะโรงพยาบาลเอกชนก็มีระบบในการเบิกจ่ายยา ก็ขอให้ไปศึกษาไปดู ถ้าจัดการตรงนี้แล้ว ก็ต้องวางระบบไปพร้อมด้วย” นายภูมิธรรม กล่าว

นายภูมิธรรม กล่าวอีกว่า ระบบที่มีการจัดวางใหม่ อาจจะกระทบต่อการบริการประชาชนบ้าง แต่โรงพยาบาลเอกชน หรือโรงพยาบาลรัฐที่ทันสมัย อย่างเช่น โรงพยาบาลรามาธิบดี โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ และโรงพยาบาลศิริราช เขาก็ใช้กันได้ แม้ประชาชนจะได้รับผลกระทบบ้าง แต่ก็ต้องทำให้โปร่งใส และตนคิดว่าทุกวันนี้มันไม่ได้พัฒนาระบบป้องกันอย่างเดียว แต่ต้องพัฒนาระบบให้รวดเร็วมากขึ้นอีก สามารถจองคิวได้ พร้อมยืนยันไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงในเรื่องนี้