เมื่อเวลา 11.36 น. วันที่ 17 มี.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คมนาคม กล่าวภายหลังเข้าร่วมประชุมกับนายกรัฐมนตรี เพื่อหารือการวางมาตรการความปลอดภัย ในการก่อสร้างถนนและเส้นทาง ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หลังเกิดเหตุคานเหล็กถนนพระราม 2 ในโครงการทางพิเศษสายพระราม 3-ดาวคะนอง ว่า นายกฯ สั่งการว่าหากมีการตรวจสอบแล้ว หากเกิดจากความผิดของบริษัทผู้รับเหมา หรือผู้ควบคุมงาน ก็ให้ใช้กฎหมายที่มีอยู่ ตามบทลงโทษสูงสุดมาตรา 109 หมวด 12 ในพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) จัดซื้อจัดจ้าง ปี 2560 ว่าด้วยการทิ้งงาน
เมื่อถามว่ามีการรายงานถึงมาตรการสมุดพกเพื่อตัดแต้มผู้รับเหมาหรือไม่ นายสุริยะ กล่าวว่า อธิบดีกรมบัญชีกลางระบุว่า มาตรการปัจจุบันตาม พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างฯ สามารถนำเรื่องดังกล่าวเข้ามาใช้ได้เลย ไม่ต้องรอมาตรการสมุดพก ซึ่งแต่ละกรมต้องใช้ดุลพินิจ และทางเจ้าหน้าที่ก็ห่วงว่าอาจถูกฟ้องร้องได้ ซึ่งหากเป็นความบกพร่องของผู้รับเหมา ยืนยันว่าจะใช้มาตรการสูงสุด
เมื่อถามต่อว่าจะสามารถเอาผิดผู้รับเหมาได้หรือไม่ นายสุริยะ กล่าวว่า เรื่องนี้เพิ่งเกิดเมื่อ 2 วันที่แล้ว ซึ่งการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) จะเร่งตรวจสอบข้อเท็จจริง คงใช้ระยะเวลาการตรวจสอบไม่เกิน 1 เดือน ส่วนจะมีมาตรการอะไรในการป้องกันเหตุไม่ให้เกิดขึ้นซ้ำอีกหรือไม่ นายสุริยะ กล่าวว่า ในช่วงนี้ยังมีการก่อสร้างต่อเรื่อยๆ และมีประชาชนที่สัญจรผ่านยังบริเวณดังกล่าวห่วงเรื่องความปลอดภัย ตนจึงเสนอให้วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (วสท.) ตรวจสอบกระบวนการและจะจัดจ้างที่ปรึกษา เพื่อดูกระบวนการทั้งหมด คำนวณความปลอดภัยในการก่อสร้างสูง ซึ่งที่ผ่านมากระทรวงได้มีการขอร้องที่ปรึกษาโดยไม่จ่ายค่าจ้าง แต่ขณะนี้คิดว่าต้องมีการจ้างให้เป็นกิจจะลักษณะ เพื่อให้มีบุคลากรมาช่วยดูแล
เมื่อถามย้ำว่าจะต้องมีการเอาผิดบริษัทที่ปรึกษาด้วยหรือไม่ นายสุริยะ กล่าวว่า หากเป็นความผิดพลาดของที่ปรึกษา ก็ต้องดำเนินคดีอาญา รวมไปถึงฟ้องทางแพ่ง และหากผิดพลาดก็ต้องยึดใบอนุญาตของที่ปรึกษาด้วย
เมื่อถามอีกว่าการเกิดเหตุซ้ำแบบนี้ถือเป็นการหละหลวมในเรื่องของมาตรฐานหรือไม่ นายสุริยะ กล่าวว่า ตนได้กำชับหน่วยงานที่ต้องก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ และผู้รับเหมา โดยคำนึงถึงเรื่องความปลอดภัยไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ ซึ่งในส่วนของกระทรวงคมนาคมได้เชิญผู้รับเหมามาย้ำเรื่องความปลอดภัย แต่ปรากฏว่าที่ผ่านมา ก็เกิดเหตุการณ์ซ้ำขึ้นมาอีก ตนจึงได้มีการเสนอมาตรการสมุดพก ที่จะให้มีการตัดคะแนนผู้รับเหมาหากมีเหตุการณ์จนถึงการสูญเสีย ก็จะมีการขึ้นบัญชีดำผู้รับเหมารายนั้นไม่สามารถเสนอราคาประมูลงานได้ จึงทำให้ผู้รับเหมาทำงานด้วยความระมัดระวัง เพราะหากโดนขึ้นบัญชีดำ 2 ปี อาจจะทำให้บริษัทนั้นล้มละลายได้ แต่ทางกรมบัญชีกลางเสนอว่าไม่จำเป็นต้องรอมาตรการสมุดพก ออกมาตรการที่กรมบัญชีกลางมีอยู่สามารถดำเนินการได้ แต่เจ้าหน้าที่เป็นห่วงเนื่องจากจะต้องมีการใช้ดุลพินิจของหน่วยงาน
เมื่อถามต่อว่าได้มีการขึ้นบัญชีดำผู้รับเหมา ในเหตุการณ์ครั้งก่อนหรือไม่ นายสุริยะ กล่าวว่า เหตุการณ์ครั้งก่อนยังไม่มีการขึ้นบัญชีดำผู้รับเหมา เนื่องจากอยู่ระหว่างการทำมาตรการสมุดพกของกรมบัญชีกลางและหน่วยงานรับผิดชอบสอบสวนข้อเท็จจริง ซึ่งขณะนี้ยังไม่แล้วเสร็จ ทั้งนี้ มาตรการสมุดพกจะสามารถบังคับใช้ได้ก่อนสิ้นเดือน เม.ย.นี้
เมื่อถามอีกว่ากระทรวงคมนาคม จะทบทวนการแบ่งสัญญาการรับเหมาหรือไม่ เนื่องจากถนนพระราม 2 มีการซอยสัญญาก่อสร้างค่อนข้างมาก นายสุริยะ กล่าวว่า ที่ผ่านมามีการซอยสัญญาแค่ไม่กี่กิโลเมตร ก็มีหลายสัญญา เช่น ถนนพระราม 2 มีถึง 14 สัญญา และบางสัญญาไม่แล้วเสร็จ ทำให้เกิดฟันหลอ ที่เหลือก็ทำต่อเนื่องไม่ได้ จึงสั่งการไปว่า ต่อไปนี้ต้องแบ่งสัญญาเท่าที่จำเป็น จะไม่ให้มากเกินไป
เมื่อถามด้วยว่าในโซเชียลมีเดียมีการตั้งคำถามเรื่องความเชื่อ จะมีการนำยักษ์มาแบกเสา เช่นเดียวกับถนนวิภาวดีรังสิตหรือไม่ นายสุริยะ ไม่ตอบคำถามดังกล่าว โดยระบุว่า การที่ประชาชนไม่มั่นใจ ตนเข้าใจความรู้สึก จึงมีความคิดจะออกมาตรการ หากการก่อสร้างมีอุบัติเหตุ มีแนวคิดห้ามผู้รับเหมารับงาน และมาตรการนี้จะทำให้ผู้รับเหมาระมัดระวังมากยิ่งขึ้น แต่ระหว่างนี้ยังมีการก่อสร้างอยู่อย่างต่อเนื่อง ก็จะจ้างสภาวิศวกรรมสถานฯ มาช่วยตรวจสอบเพิ่มเติม เพื่อให้ได้มาตรฐานมากขึ้น
เมื่อถามถึงกรณีที่มีเสียงเรียกร้องจากโซเชียลมีเดียให้ รมว.คมนาคมพิจารณาตัวเองจากตำแหน่งนั้น นายสุริยะ กล่าวว่า สิ่งที่กระทรวงดำเนินการมาตลอด เมื่อมีมาตรการต่างๆ ออกมาชัดเจน รวมไปถึงการขึ้นบัญชีดำผู้รับเหมา เชื่อว่าเรื่องความปลอดภัยจะดีขึ้นอย่างแน่นอน และยืนยันว่า การก่อสร้างถนนพระราม 2 จะแล้วเสร็จภายในสิ้นปีนี้ตามกำหนดการเดิมอย่างแน่นอน.