ภารกิจสำคัญที่ให้อำนาจสมาชิกวุฒิสภา (สว.) คือ การเลือกบุคคลเข้าไปทำงานในองค์กรอิสระ ซึ่งวันที่ 18 มี.ค. จะเป็นอีกครั้งจะต้องมีโหวตลับเพื่อคัดเลือกตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ (รธน.) ซึ่งก่อนหน้านั้น น.ส.นันทนา นันทวโรภาส หนึ่งใน สว. ขอเรียกร้องให้บรรดาสมาชิกวุฒิสภาทั้งหมดชะลอการลงมติเห็นชอบองค์กรอิสระในวันที่ 18 มี.ค. โดยอ้างว่า กรรมการการเลือกตั้ง (กกต. ) และ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กำลังสอบสวนที่มาของ สว. ทั้งหมดอยู่ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในอนาคต

ขณะที่ “พ.ต.อ.กอบ อัจนากิตติ” สว. ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) เพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบประวัติ ความประพฤติและพฤติกรรมทางจริยธรรม ผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ วุฒิสภา ยืนยันว่า การประชุมวุฒิสภาวันที่ 18 มี.ค. ควรต้องมีการเดินหน้าประชุมลับเพื่อโหวตเห็นชอบตุลาการศาล รธน. สองคนต่อไป (ศาสตราจารย์ดร.สิริพรรณ นกสวน สวัสดี และนายชาตรี อรรจนานันท์ อดีตเอกอัครราชทูต ประจำกรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์) เพราะทั้งสองชื่อผ่านการคัดเลือกจากคณะกรรมการสรรหาฯ จนส่งชื่อมาให้วุฒิสภา การโหวตดังกล่าว ถือเป็นการทำหน้าที่ตามปกติของ สว.

“ก็คงต้องรอฟังในที่ประชุมว่า จะมี สว. เสนอให้เลื่อนการโหวตออกไปหรือไม่ หากเสนอก็รอฟังเหตุผลที่เขาจะอภิปราย แต่เรื่องนี้ต้องดูความเหมาะสมด้วย ไม่ใช่มาสร้างประเด็นอะไรให้สังคมสงสัย ดูแล้วมันไม่เข้าท่า หากจะเสนอให้เลื่อน ก็เสนอญัตติเข้ามาเลย ไม่ใช่ไปเที่ยวสัมภาษณ์แถลงข่าวกับสื่อ ไม่ใช่เรื่องที่ สว. พึงกระทำ คิดอยากทำอะไรก็ทำ เป็นผู้ใหญ่พูดจาอะไรต้องดูด้วย ไม่ใช่มาเรียกตัวเองว่าพันธุ์โน้นพันธุ์นี้ สว.ก็คือ สว. ไม่มีพันธุ์อะไร” พ.ต.อ.กอบ กล่าว

ด้านแหล่งข่าว สว.สีน้ำเงิน ที่เป็น กมธ.สามัญ เพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบประวัติ ความประพฤติและพฤติกรรมทางจริยธรรม ผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นตุลาการศาล รธน. ของวุฒิสภา คนหนึ่ง เปิดเผยว่า จากการที่ ดร.สิริพรรณ ได้เข้าให้สัมภาษณ์กับกมธ.สอบประวัติฯ โดยมีการส่งเอกสารชี้แจงเรื่องการเคยร่วมลงชื่อเสนอแก้ไขมาตรา 112 รวมถึงกรรมการสรรหาฯ ได้ส่งเอกสารเพิ่มเติมในส่วนดังกล่าว ส่งมาให้ กมธ.สอบประวัติฯ ทางกมธ.สอบประวัติฯ บางคน

ที่แม้จะเป็น สว.สีน้ำเงิน แต่เห็นว่า คำชี้แจงของ ดร.สิริพรรณ ค่อนข้างเคลียร์ เพราะมองว่าเป็นความคิดเห็นเชิงวิชาการที่ร่วมลงชื่อแก้ 112 จึงทำให้จะโหวตเห็นชอบให้ ดร.สิริพรรณ และนายชาตรี ทั้งสองคนได้เข้าไปเป็นตุลาการศาล รธน. แต่สุดท้าย ก็อยู่ที่การตัดสินใจของ สว. เสียงส่วนใหญ่ว่าจะโหวตเห็นชอบให้ ดร.สิริพรรณ และนายชาตรี หรือไม่ กมธ.สอบประวัติฯ ไม่สามารถไปโน้มน้าวได้ ซึ่งมติเห็นชอบจะต้องได้เสียง สว.โหวตเห็นชอบไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของ สว.ที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ 199 คน

คงต้องรอดูว่า กระบวนการคัดเลือกตุลาการศาล รธน. จะมีบทสรุปอย่างไร ทั้งสองบุคคลจะผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุมวุฒิสภาหรือไม่

ส่วนความคืบหน้าในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ทางพรรคฝ่ายค้าน นำโดย “พรรคประชาชน” (ปชน.) เริ่มมีการโหมโรง และเปิดประเด็นเรื่องที่จะนำมาซักฟอก โดยเฟซบุ๊กพรรค ปชน. โพสต์ภาพพร้อมข้อความเปิดแคมเปญอภิปรายไม่ไว้วางใจ โดยระบุว่า เมื่อช้างสารชนกัน หญ้าแพรกก็แหลกลาญ เมื่อช้างสารดีลกัน ประชาชนก็แหลกลาญ 18 เดือนภายใต้รัฐบาลที่ดีลกันบนผลประโยชน์ของชนชั้นนำ เหยียบย่ำเสียงของประชาชน คนไทยต้องสูญเสียไปเท่าไร เพื่อให้คนบางคนได้กลับบ้าน ประเทศเสียหายไปแค่ไหน เพื่อให้แพทองธาร ชินวัตร ได้เป็นนายกรัฐมนตรี

ดิจิทัลวอลเล็ตกลายพันธุ์จนจำรูปร่างเดิมไม่ได้ แจกจ่ายไม่ทั่วถึง เศรษฐกิจโตต่ำรั้งท้ายอาเซียน คนไทยตกงานนับแสน ค่าครองชีพสูง ค่าแรงไม่ขึ้นตามสัญญา กองทัพกลายเป็น “เขตทหาร ห้ามเข้า” รัฐบาลพลเรือนแตะต้องไม่ได้ ปฏิรูปกองทัพเป็นเพียงลมปาก แก้ รธน.ไร้ความคืบหน้า นักโทษการเมืองติดคุกไม่ได้ประกัน ประเทศไทยถูกประณามเป็นที่อับอายในเวทีโลก ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชน ร่วมติดตามการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งแรกของพรรคปชน. เปิดทุกดีลลับ คิดบัญชีทุกความสูญเสีย เปิดทุกแผลที่ถูกหมกเม็ด ของแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี 24 มี.ค.นี้ เป็นต้นไป

นอกจากนี้ยังมีภาพวาดการ์ตูนรูปเหมือน น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ ที่อยู่บนกองอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยที่พังทลาย กำลังทำมือแตะกับมือของพระเจ้า ซึ่งพระเจ้านั้นในมือถือใย ที่กำลังคอยชักตุ๊กตาไม้ ที่มีเหรียญทอง และตาชั่งสัญลักษณ์ของความยุติธรรม และรถถัง เป็นพื้นหลังประกอบ โดยภาพโปสเตอร์ดังกล่าว จัดทำขึ้นคล้ายกับภาพจิตรกรรมบนเพดานโบสถ์ ของไมเคิล แองเจโล ในภาพที่มีชื่อว่า “The Creation of Adam” หรือชื่อว่าพระเจ้าสร้างอดัม

ด้าน “นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ” หัวหน้าพรรค ปชน. และผู้นำฝ่ายค้าน เปิดเผยว่า ได้ยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ฉบับแก้ไข ต่อประธานสภาแล้วในช่วงเช้าวันนี้ โดยขีดฆ่าชื่อนายทักษิณ ชินวัตร และคำว่า “ผู้เป็นบิดา” ออก แล้วเปลี่ยนเป็น “บุคคลในครอบครัว” แทน ทั้งนี้ เชื่อว่าประธานจะบรรจุญัตติดังกล่าวเข้าสู่วาระโดยไม่มีปัญหาใดๆ และสามารถเปิดอภิปรายได้ในวันที่ 24 มี.ค. 68 ตามข้อเสนอของรัฐบาล

ดูการเตรียมตัวของพรรคฝ่ายค้าน การโหมโรงของพรรคสีส้ม ครั้งนี้คงต้องบอกว่า ไม่มีการออมมือ คงหวังจะทำลายความชอบธรรมฝ่ายบริหารอย่างเต็มที่ เพราะเหตุผลส่วนหนึ่งคงเกิดจากแรงแค้น หลังพรรคเพื่อไทย (พท.) ข้ามขั้วไปจัดตั้งรัฐบาล กับพรรคร่วมรัฐบาลเดิม ลอยแพ “พรรค ปชน.” ออกจากสมการการเมือง ซึ่งถ้าหากฝ่ายค้านมีข้อมูลเด็ด มีใบเสร็จที่ชี้ให้เห็นถึงความไม่ชอบมาพากล ส่งต่อฝ่ายบริหาร และกระทบกับสถานะของหัวหน้ารัฐบาลแน่ๆ

ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลก เมื่อดินเนอร์พรรคร่วมรัฐบาลวันที่ 21 มี.ค. ที่โรงแรมโรสวูด จะมีเพียงหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งเชื่อว่า “นายกฯ แพทองธาร” คงต้องขอความร่วมมือพรรคร่วมรัฐบาล ให้เตรียมประเด็นไว้ ในกรณีที่มีการอภิปรายและพาดพิงถึง เพื่อหวังลดแรงปะทะทางการเมือง

อีกเวทีที่น่าสนใจคือความเคลื่อนไหวของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ในระหว่างเดินทางไปพบไปกับมวลชนคนเสื้อแดงในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง ที่มหาวิทยาลัยพิษณุโลก โดยตอนหนึ่งอดีตนายกฯ กล่าวว่า วันนี้เราจะต้องแข็งแรงมีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน นิสัยเก่าๆ ที่ชอบอิจฉาริษยา ทำงานเป็นทีมไม่ได้ คนไทยต้องเบาลง ไม่อย่างนั้นประเทศเราจะไม่แข็งแรง ตนจะถูกใส่ร้ายป้ายสีในอดีตอย่างไรก็แล้วแต่ วันนี้ตนให้อภัย อยากเห็นคนไทยทุกคนอยู่ร่วมกันอย่างสันติ มีความเป็นธรรม ตนกลับได้เพราะพระเมตตา ดังนั้นจะต้องกลับมาทำงานให้กับบ้านเมือง ทำให้เป็นยุคศิวิไลซ์ การเมืองเข้มแข็ง แข็งแกร่ง และบริหารประเทศด้วยปัญญาด้วยความถูกต้อง

เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ตนคิดกับนายกฯ อิ๊งค์ ดังๆ ว่าทำอย่างไรจะให้หนี้สินคนไทยหมด เพราะวันนี้หนี้ครัวเรือนเยอะเหลือเกิน เราจึงคิดกันว่าจะซื้อหนี้ทั้งหมด ซื้อหนี้ของประชาชนออกจากระบบธนาคารดีหรือไม่ แล้วให้ประชาชนค่อยๆ ผ่อน ไม่ต้องชำระเต็มจำนวน แล้วให้เริ่มต้นชีวิตใหม่ ยกจากเครดิตบูโรให้หมด ให้เป็นคนบริสุทธิ์ผุดผ่องทำมาหากินใหม่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ต้องใช้เงินรัฐสักบาท เพราะสามารถให้เอกชนลงทุน วันนี้รัฐเป็นหนี้เยอะ เราเข้ามาหนี้ก็บานตะไทแล้ว เราต้องสร้างหนี้ให้น้อยที่สุด และสร้างโอกาสให้คนไทยมากที่สุด พูดง่ายทำยากแต่ต้องทำ

น่าสนใจแนวทางซื้อหนี้ของประชาชนออกจากธนาคาร จะนำงบประมาณมาจากไหน จะใช้วิธีการดำเนินการอย่างไร รัฐจะต้องแบกภาระเท่าไหร่ ซึ่งคงต้องรอดูว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ น.ส.แพทองธาร จะนำแนวทางนี้ ออกไปสู่รูปแบบปฏิบัติอย่างไร ซึ่งถ้าทำได้จริง จะช่วยชาวบ้านได้มากเลยทีเดียว เชื่อว่าเรื่องนี้หลายฝ่ายต้องให้ความสนใจ และติดตามแนวทางในการดำเนินการแน่ๆ

“ทีมข่าวการเมือง”