สำนักข่าวเอเอฟพี รายงานจากกรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 25 มี.ค. ว่า เศรษฐกิจของสหรัฐยังคงตึงเครียดจากเชื้อไวรัสไข้หวัดนก ซึ่งฆ่าสัตว์ปีกเกือบ 170 ล้านตัว นับตั้งแต่ช่วงต้นปี 2565 ส่งผลให้ร้านขายของชำมีสินค้าไม่มากนัก ร้านอาหารต่างปรับขึ้นราคาเมนู และราคาไข่ขายส่งพุ่งสูง 53.6% ในเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา ก่อนที่จะลดลงเล็กน้อยในเดือนนี้

ยิ่งไปกว่านั้น ปัญหาการขาดแคลนไข่ยังทำให้ภาวะเงินเฟ้ออาหารทวีความรุนแรงขึ้น อีกทั้งข้อพิพาททางการค้าของทรัมป์ ก็เสี่ยงทำให้ห่วงโซ่อุปทานชะงักงัน และเพิ่มต้นทุนของผลิตผลสดและสินค้าอื่น ๆ

เมื่อเดือน ก.พ. รัฐบาลวอชิงตันประกาศแผนการลดราคาไข่ มูลค่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 34,000 ล้านบาท) ซึ่งรวมถึงการช่วยเหลือเกษตรกรในการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสไข้หวัดนก และการวิจัยตัวเลือกวัคซีน ตลอดจนส่งเสริมการนำเข้าไข่จากประเทศต่าง ๆ เช่น ตุรกี บราซิล และเกาหลีใต้ ซึ่งปกติจะส่งไข่มายังสหรัฐเพียงเล็กน้อย และขอให้ยุโรปส่งไข่มาเพิ่มอีก

นอกจากนี้ คณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐ (เอฟดีเอ) ระบุว่ากำลังพิจารณาคำร้องจากสภาไก่แห่งชาติ (เอ็นซีซี) เพื่ออนุญาตให้จำหน่ายไข่จากไก่ที่สมาชิกของเอ็นซีซี เลี้ยงไว้เพื่อบริโภคเนื้อ ซึ่งในปัจจุบัน บรรดาผู้ผลิตไก่เนื้อทำลายไข่เหล่านี้หลายล้านฟอง เนื่องจากพวกเขาไม่มีเครื่องทำความเย็นเพียงพอที่จะปฏิบัติตามข้อกำหนดความปลอดภัยด้านอาหารของเอฟดีเอ

อนึ่ง สมาคมโปรตีนสัตว์แห่งบราซิล (เอบีพีเอ) ระบุว่า การนำเข้าไข่จากบราซิลของสหรัฐ ในเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา เพิ่มขึ้น 93% จากปีที่แล้ว หลังรัฐบาลของทรัมป์อนุญาตการนำเข้าไข่จากบราซิล เพื่อแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อาหารสำหรับผู้คน เมื่อเดือน ม.ค. ซึ่งก่อนหน้านี้ ไข่จากบราซิลได้รับอนุญาตให้ใช้เฉพาะในอาหารสัตว์เท่านั้น.

เครดิตภาพ : AFP