เมื่อวันที่ 25 มี.ค. ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 26 (สมัยสามัญประจำปี ครั้งที่สอง) เป็นพิเศษ ที่มีนายภราดร ปริศนานันทกุล รองประธานสภา คนที่สอง ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม เพื่อพิจารณา เรื่องด่วน ญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล วันที่ 2 โดย นายสิทธิพล วิบูลย์ธนากุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประช่ชน อภิปรายว่า ไม่ไว้วางใจให้ นายกบริหารราชการแผ่นดินต่อไปเพราะทำลายเศรษฐกิจไทยแบบไม่มีวันหวนกลับ หากปล่อยให้บริหารต่อไปจะนำความเสียหายต่อประเทศชาติและประชาชนอย่างที่ยากจะแก้ไข เนื่องจากกำลังปล่อยให้ผู้ประกอบการต่างชาติทำลายเศรษฐกิจไทย 3 ด้าน เป็นดินแดนศูนย์เหรียญ 1.ทำลายแรงงานไทย เพราะให้ต่งชาติมาทำอาชีพสงวน 2. ทำลายอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ 3. ทำลายธุรกิจชุมชน
นายสิทธิพล กล่าวว่า นี่ เป็นเรื่องใหญ่เกี่ยวพันหลายกระทรวง คนที่จะแก้ไขได้มีแต่นายกฯ เท่านั้น แต่ที่ผ่านมานายกฯ ขาดภาวะผู้นำ ขาดความรับผิดชอบต่อตำแหน่งหน้าที่ ไม่ใส่ใจบริหารประเทศ ไม่ใส่ใจผลประโยชน์ของประชาชน ไม่เห็นความเร่งด่วน ปล่อยปละละเลย ดำเนินนโยบายแบบมักง่าย จนความเสียหายขยายวงกว้าง หากให้บริหารประเทศต่อไป ประเทศเศรษฐกิจชาติจะล่มจมไม่อาจแก้ไขให้กลับคืนดังเดิม ในฐานะฝ่ายค้านจึงไม่สามารถไว้วางใจนายกรัฐมนตรี แพทองธารบริหารประเทศต่อไป
นายสิทธิพล กล่าวต่อว่า ปัจจุบันนี้ มีคนจีนมาตั้งโรงงาน จ้างแรงงานจีน จ่างคนไทยเป็นแค่รปภ. ทั้งนี้จากการลงพื้นที่ EEC เช่น ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา พบแรงงานจีนจำนวนมาก ทั้งๆ ที่การอนุญาตให้แรงงานต่างชาติเข้ามานั้นมีเงื่อนไขคือ จ้างโดยบริษัทได้รับการส่งเสริมการลงทุน โดยแรงงานที่เข้ามาคือมีทักษะสูงเป็นผู้บริหาร ผู้เชี่ยวชาญ ผู้ชำนาญการ สัดส่วนการจ้างงาน 3.6% ทั้งนี้เพื่อช่วยพัฒนาคนไทยด้วย แต่วันนี้มีการใช้รถบัสขนคนงานจีนเข้าโรงงานจำนวนมาก กระทรวงแรงงานบอกว่ามีตัวเลขแค่ 9 พันคน และกลางปี 2567-ต้นปี 2568 มีรายงานคนจีนทำผิดกฎหมายแค่ 2 คือว่าน้อยมาก นับว่าตัวเลขแรงงานจีนในระบบน้อยมาก นั่นหมายความว่ามีแรงงานจีนนอกระบบจำนวนมากที่กำลังแย่งงานคนไทย ซึ่งตนไม่ได้พูดปากเปล่าแต่ลงพื้นที่เก็บข้อมูลที่พัก1โครงการบ่อวินจังหวัดชลบุรี โครงการ 2 บ่อวิน โครงการที่ 3 และ 4 อยู่ในตำบลมาบยางพร จังหวัดระยองมีคนจีนอาศัยประมาณ 24,000 คน มากกว่าตัวเลขทางการ 3 เท่า เป็นแรงงานทักษะธรรมดาด้วย ซึ่งแรงงานที่ผิดกฎหมายเหล่านี้คือโอกาสของแรงงานไทยที่หายไป ที่นายกฯ บอกว่าการลงทุนจะช่วยเพิ่มการจ้างงานช่วยเพิ่มค่าจ้างให้คนไทยจึงไม่จริง
นายสิทธิพล กล่าวด้วยว่า ปัญหาหนึ่งมาจากการนโยบายฟรีวีซ่าหวังตัวเลขนักท่องเที่ยว แต่ไม่มีการกำกับ นักท่องเที่ยวไม่เพิ่ม แต่ทำให้เกิดขบวนการเวียนเทียนวีซ่า เข้าออกมีค่าใช้จ่ายหัวละ 3,000 บาท แล้วข้อมูลหน่วยงานรัฐที่ให้กับกรรมาธิการ การพัฒนาเศรษฐกิจพลเมืองว่ามีคนจีนที่มีพฤติกรรมแบบนี้ 2-3 หมื่นคน แล้วนายกฯ ปล่อยปละละเลยให้เกิดเรื่องอย่างนี้ได้อย่างไร นี่เป็นความรับผิดชอบของนายกในฐานะที่เป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของตำรวจ คิดว่าปัญหาเวียนวีซ่าจะเกิดขึ้นได้หรือไม่หากไม่มีคอรัปชั่น
นายสิทธิพล กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ยังมาทำธุรกิจกินรวบตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ เช่น ลงทุนบ้านหรู ธุรกิจรถทัวร์ ร้านอาหาร เป็นโรงงานศูนย์เหรียญที่ประเทศไทยไม่ได้อะไรเลย เพราะเขามาตั้ง ตอนก่อสร้าง อุปกรณ์ก่อสร้างทุกอย่าง ก็ขนมาเอง เมื่อเปิดโรงงานแล้วก็ไม่ใช้แรงานไทย ใช้แรงงานจีน หรือแรงงานต่างด้าวหมด สิ่งที่เขาซื้อจากไทยมีเพียงปูน ซึ่งตนลองคำนวณการสร้างบ้าน 1 หลัง ราคา 1 ล้านบาท แต่เราได้เงินจากค่าปูนแค่ 100,000 บาท เท่านั้น ปัจจุบันยิ่งแย่ เพราะผู้ประกอบการต่างชาติใช้ระบบน็อคดาวน์ ความจำเป็นในการใช้วัสดุในประเทศก็ยิ่งน้อยลง มีหลายคนถูกทุนต่างชาติรุกไร่ ต้องปิดกิจการ ทั้งนี้ปี 2561 มีบริษัทจัดตั้งใหม่ ที่ทำธุรกิจก่อสร้างและมีคนจีนถือหุ้น อยู่ที่ 299 บริษัท เพิ่มขึ้นชัดปีก่อนๆ ถึง 7 เท่า ที่น่าตกใจคือปี 2568 ซึ่งเธอผ่านมา 2 เดือน ยอดตั้งใหม่ก็เท่ากับปี 2565 ทั้งปี หรืออย่าง ร้านอาหารปีที่แล้วจดทะเบียนตั้งใหม่ 8,000 กว่าราย เดือนครึ่งเป็นทุนจีนของทุกอย่างในร้านมาจากประเทศจีน ไม่แปลกที่คนไทยจะค้าขายลำบาก
“ความเลวร้ายของการบริหารเศรษฐกิจภายใต้ การนำของนายกฯ คือดับความฝัน ของคนรุ่นใหม่คนหนุ่มสาว ที่อยากเป็นผู้ประกอบการ อยากเป็นนักธุรกิจ อยากเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในประเทศนี้ แต่ก็เกิดได้ยากเหลือเกิน ที่บอกว่าเป็นนายก Gen Y ก็อยากจะให้เข้าใจคนเจนวายจริงๆ ว่าเขาไม่ได้อยากวายวอดเขาอยากประสบความสำเร็จเหมือนนายกฯ อีกอย่างที่สะท้อนปัญหาการบริหาร เศรษฐกิจคือพยายามขายซอฟต์พาวเวอร์ มีโครงการต่างๆ ดันเชฟไทย ดันอาหารไทยมีโครงการ 1 หมู่บ้าน แต่ก็ไม่ทราบว่าจะดันไปทำไม ในเมื่อพอเปิดธุรกิจ ก็ต้องมาเจออะไรแบบนี้ เพราะพอเปิด แค่ไม่ถึง 1 ปีก็ต้องเจ๊ง เป็นหนี้ เพราะโดนทุนต่างชาติกินรวบแบบฉ่ำๆ” นายสิทธิพล กล่าว
นอกจากนี้ ที่แย่และเลวร้าย คือนายกฯ กำลังปล่อยให้คนต่างชาติครอบครองที่ดินได้ ทำให้มีการเข้าซื้อ ครอบครอง เพื่อทำบ้านจัดสรร ทำสวนผลไม้ ผ่านนอมินิทั้งการตั้งบริษัทนอมินี หรือ ครอบครองที่ดินผ่านมูลนิธิ ขนาดยังไม่ได้ดำเนินนโยบายของพรรคเพื่อไทยที่จะให้ต่างชาติเช่าที่ 99 ปี นายกฯ ยังปล่อยให้มีการสวมสิทธิ์เล่นแร่แปรธาตุ ได้ขนาดนี้ จนไม่ต้องทำนโยบายให้ต่างชาติเช่าที่ 99 ปีแล้วก็ได้ เพราะตอนนี้ได้ที่ไปนานกว่า 99 ปีแล้ว ที่เสียใจคือปัจจุบันยังมีคนไทยจำนวนมากที่ไม่มีที่อยู่ที่ทำกิน มี52 จังหวัดที่มีข้อพิพาทเรื่องที่ดินกับรัฐ ล่าสุดมีปัญหา ห้องชุดคอนโดมิเนียมและปล่อยเช่าในแพลตฟอร์มต่างๆ ยึดครองนิติบุคคล เพิ่มความเสี่ยงแก่คนที่พักอาศัย กระทบความั่นคง ธุรกิจโรงแรมเสียหาย นักท่องเที่ยวดีๆ ก็ไม่อยากเข้ามา
“ต้องตำหนินายกฯ ที่ไม่คิดนโยบายให้รอบคอบ รู้เห็นเป็นใจจนแบบนี้ก่อผลเสียเป็นวงกว้าง”นายสิทธิพล กล่าว และว่า ที่รมว.พาณิชย์ อ้างว่ากวาดล้างนอมินี 851 ราย มูลค่า 15,000 ล้าน ตัวเลขที่โฆษณานี้ ยิ่งโชว์ถึงความล้มเหลวของรัฐบาล ความร้ายแรงของปัญหาตลอดจนความสูญเสียของเศรษฐกิจไทย เพราะ ที่แสดงมานี้อาจจะเป็นเพียง 1% ของปัญหาด้วยซ้ำ ดังนั้นประเทศไทย คนไทยมีแต่เสียหาย ธุรกิจไทยที่ได้ประโยชน์มีเพียงกระจุกเดียวคือคนที่หากินกับพวกศูนย์เหรียญ นี่เป็นเรื่องเร่งด่วนที่เราต้องการผู้นำที่มุ่งแก้ไขปัญหา ที่พูดมานั้นควรเป็นวาระแห่งชาติแต่นายกฯ กลับไม่ทำหน้าที่ผู้นำ ไม่รู้ร้อนรู้หนาวด้วยซ้ำ
นายสิทธิพล กล่าวอีกว่า สิ่งที่กล่าวมากำลังวนไปทำลายธุรกิจชุมชน ร้านคนไทยรายเล็กรายน้อยแทบอยู่ไม่ได้เพราะเขามาเปิดกิจการ ร้านค้าค้าขายกันเอง ทั้งอาหารสด ของชำ ผลไม้ คาราโอเกะ สถานบันเทิง ร้านนวด ธุรกิจเหล่านี้รับเงินโดยใช้ QR Code ที่โอนเงินไปต่างประเทศโดยตรง เพราะบัญชีต้นทางก็ของจีนปลายทางก็จีน ไม่ต้องพูดถึงภาษีเขาไม่จ่ายหรือจ่ายขาดแน่ๆ แล้วรัฐบาลจะตรวจสอบอย่างไร ในทางกลับกันร้านค้าของไทยรายเล็กรายน้อยโดนภาษีทุกเม็ด นี่คือคนไทยกำลังเผชิญกับความไม่ยุติธรรมจากการแข่งขันที่ไม่ยุติธรรมจากคนต่างชาติสีเทาในทุกมิติ ที่นายกเป็นคนเปิดประตูรับของเข้ามา
“เราเคยเตือนแล้ว หากท่านใส่ใจปัญหากว่านี้ รับผิดชอบต่อหน้าที่กว่านี้ปัญหาแบบนี้จะไม่เกิด สรุปภายใต้การบริหารประเทศของนายกประเทศเสียหายรุนแรง ความเสียหายทาง เศรษฐกิจที่เกิดขึ้นประเมินขั้นต่ำเฉพาะ 4-5 อุตสาหกรรมรับเหมาก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ โรงแรม ค้าปลีก ร้านอาหาร เศรษฐกิจสูญเสียไม่ต่ำกว่าปีละ 3 แสนล้านบาท ยังไม่นับอื่นๆ ไม่รวมต้นทุนคนไทยถูกแย่งงานถ้ารวมทั้งหมดผลกระทบจากทุนต่างชาติสีเทา ไม่ต่ำกว่า 5 แสนล้านบาทต่อปี ถ้าปล่อยให้นายกฯ บริหารต่อจนครบวาระ อย่างที่นายกฯ ตั้งใจประเทศชาติคงเสียหายหลักล้านๆ บาท หนักกว่าวิกฤตเศรษฐกิจที่ประเทศไทยเคยเจอ เพราะปกติเวลาเจอวิกฤตยังเห็นโอกาส ที่จะกลับมาได้ แต่การถูกทุนต่างชาติกินรวบทำลายเจ๊งแล้วเจ๊งเลยไม่สามารถฝืนกลับมาได้แล้ว เผลอๆรัฐบาลหน้าอย่างน้อยตามแก้ไขสิ่งที่ท่านทำไว้”
นายสิทธิพล กล่าวต่อว่า ทั้งนี้การยอมให้นอมินีต่างชาติซื้อที่ซื้อบ้านยังเชื่อมโยงการทำผิดกฎหมายคอลเซ็นเตอร์ หลอกลวงลงทุนที่ทำคนไทยเสียหายกว่าหมื่นล้านบาท ท่านกำลังสนับสนุนให้เกิดอาชญากรรมต่อคนในชาติทางอ้อม ขบวนการ ทุนต่างชาติสีเทาเหล่านี้ตนขอยืนยันว่าไม่สามารถอยู่ได้ถ้าไม่มีไทยเทาให้การช่วยเหลือ ตนเชื่อว่าถ้าแก้ปัญหาได้การค้าการลงทุน 2 ประเทศจะดีขึ้นจะได้นักลงทุนดีๆ เข้ามา การลงทุนจะมีคุณภาพ ช่วยการจ้างงานสร้างประโยชน์ให้กับ 2 ประเทศ มากกว่านี้ ความสัมพันธ์ของประชาชน 2 ประเทศก็จะดีขึ้น ย้ำรัฐบาลประเทศที่เกี่ยวข้อง พร้อมร่วมมือแก้ปัญหา ไม่สบายใจที่คนของเขามาทำผิดกฎหมายในประเทศเราเพราะส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ประเทศเขาเช่นกัน
“วันนี้หมดเวลาเตือนแล้ว หากปล่อยให้นายกฯ บริหารงานต่อไปจะนำความเสียหายมาสู่ ประเทศชาติและประชาชนอย่างร้ายแรง ผมขอให้สภาแห่งนี้หยุดความเสียหายด้วยการโหวต ไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีแพรทองธาร ชินวัตร ให้บริหารราชการแผ่นดินต่อไป” นายสิทธิพล กล่าว.