สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 31 มี.ค. ว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ กล่าวว่า วันที่ 2 เม.ย. ถือเป็น “วันปลดปล่อย” ทางเศรษฐกิจของอเมริกา เนื่องจากจะเป็นวันที่รัฐบาลวอชิงตันจะใช้มาตรการภาษีตอบโต้ “กับทุกประเทศบนโลก” ไม่ใช่เพียงเฉพาะกลุ่มประเทศที่มีมูลค่าการค้าเกินดุลกับสหรัฐ 10-15 อันดับแรก
อนึ่ง ก่อนหน้านี้ นายเควิน แฮสเซตต์ ที่ปรึกษาด้านนโยบายเศรษฐกิจของทำเนียบขาว กล่าวว่า รัฐบาลวอชิงตัน “จะให้ความสำคัญ” กับการใช้มาตรการภาษีตอบโต้ กับประเทศที่มีมูลค่าการค้าเกินดุลมากที่สุด 10-15 ประเทศก่อน แต่ตอนนั้นยังไม่มีการเปิดเผยรายชื่อประเทศออกมาอย่างชัดเจน
.@POTUS on reciprocal tariffs: "The tariffs will be far more generous than those countries were to us … They've ripped us off like no country has ever been ripped off." pic.twitter.com/tnvjlgbf3T
— Rapid Response 47 (@RapidResponse47) March 31, 2025
นอกจากนี้ ทรัมป์กล่าวถึงการเตรียมขึ้นภาษียานยนต์และอะไหล่ยนต์จากต่างประเทศ ในอัตรา 25% โดยภาษีรถยนต์จะมีผลก่อนในวันที่ 2 เม.ย. นี้ ตามด้วยชิ้นส่วนยานยนต์และระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่เกี่ยวข้อง ในเดือน พ.ค. ท่ามกลางความวิตกกังวลจากหลายฝ่าย ว่าจะทำให้ผู้ผลิตรถยนต์ต่างประเทศขึ้นราคารถยนต์ ว่าเขาไม่สนใจเรื่องนี้ เพราะสิ่งที่เขาต้องการ คือยอดขายรถยนต์ที่ผลิตในสหรัฐจะเพิ่มขึ้น และบริษัทผลิตรถยนต์กลับมาตั้งฐานการผลิตในอเมริกามากขึ้น
ดังนั้น หากบริษัทผลิตรถยนต์ต่างประเทศขึ้นราคาสินค้าของตัวเอง “จะเป็นผลดี” อย่างไรก็ตาม มีการวิเคราะห์ว่า มาตรการภาษีรถยนต์ของทรัมป์จะส่งผลกระทบต่อเส้นทางการค้ายานยนต์เข้าสู่สหรัฐ ซึ่งมีการนำเข้ามากถึง 16 ล้านคัน คิดเป็นมูลค่า 240,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 8.13 ล้านล้านบาท) เมื่อปี 2567
ปัจจุบัน ประมาณ 50% ของรถยนต์ที่จำหน่ายในสหรัฐ เป็นสินค้าซึ่งประกอบภายในประเทศ ในส่วนของรถยนต์ที่นำเข้ามาจากต่างประเทศนั้น ครึ่งหนึ่งมาจากแคนาดาและเม็กซิโก ส่วนที่เหลือมาจากญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และเยอรมนี ซึ่งล้วนเป็นประเทศพันธมิตรและคู่ค้ารายใหญ่ของสหรัฐ จึงมีการวิเคราะห์ว่า มาตรการภาษีครั้งนี้ จะยิ่งเพิ่มความตึงเครียดให้กับความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐ กับกลุ่มประเทศเหล่านี้.
เครดิตภาพ : AFP