สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 3 เม.ย. ว่าจากการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ ประกาศมาตรการเก็บภาษีขั้นต่ำ 10% กับสินค้าทั้งหมดที่มีการส่งออกมายังอเมริกา และเก็บภาษีเพิ่มเติมในรูปแบบของ “ภาษีต่างตอบแทน” กับประมาณ 60 ประเทศ ซึ่งมีมูลค่าการค้าเกินดุลกับสหรัฐมากที่สุด
การวิเคราะห์โดยมหาวิทยาลัยเยล ซึ่งอ้างอิงว่า หากทรัมป์ขึ้นภาษี 20% กับประเทศคู่ค้า ค่าใช้จ่ายของครัวเรือนในสหรัฐจะเพิ่มเป็นอย่างน้อย 3,400 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 116,824 บาท)
.@POTUS: "Foreign nations will finally be asked to pay for the privilege of access to our market — the biggest market in the world." pic.twitter.com/GPbf7oITnX
— Rapid Response 47 (@RapidResponse47) April 2, 2025
ขณะที่นายเจย์ ทิมมอนส์ ประธานสมาคมผู้ผลิตแห่งชาติของสหรัฐ กล่าวว่า เศรษฐกิจของประเทศกำลังเผชิญกับความเสี่ยงสูงสุดในระดับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน การลงทุน การจ้างงาน และห่วงโซ่อุปทานทั้งหมดของอเมริกาจะได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น มาตรการภาษีแบบนี้จะเป็นการทำลายศักยภาพด้านการแข่งขันทางการค้าของสหรัฐ
ด้านนายนีล แบรดลีย์ ผู้อำนวยการฝ่ายนโยบาย ของหอการค้าสหรัฐ กล่าวว่า ชาวอเมริกันจะได้รับผลกระทบอย่างหนัก เพราะเรื่องนี้ไม่ต่างอะไรกับการขึ้นภาษีต่อชาวอเมริกันเอง ซึ่งจะต้องซื้อสินค้าที่แพงขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีความเห็นจากนายบัดดี ฮิวจ์ ประธานสมาคมการก่อสร้างแห่งชาติของสหรัฐ ว่ามาตรการภาษีของทรัมป์ จะทำให้ต้นทุนการสร้างบ้านและอาคารแพงขึ้น ส่วนสหพันธ์การค้าไวน์แห่งชาติสหรัฐออกแถลงการณ์ ว่าภาคธุรกิจของอเมริกา “จะได้รับผลกระทบมากกว่า” ประเทศคู่ค้า.
เครดิตภาพ : AFP