เมื่อวันที่ 3 เม.ย. คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ุ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า ไทยจะรับมืออย่างไร กับแผ่นดินไหว 3 ลูกที่กำลังจะทำให้ “ตึกประเทศไทย“ เสี่ยงพังทลายในที่สุดประธานาธิบดีทรัมป์ก็มาตามนัด ดำเนินการสวนหมัดไทยด้วย Reciprocal Tariff สูงถึง 36 เปอร์เซ็นต์ สูงกว่าหลายประเทศ โดยเฉพาะสูงกว่าประเทศจีนที่ถูกขึ้นภาษี 34 เปอร์เซ็นต์ ตามที่ตนได้พยายามวอนรัฐบาลมาตั้งแต่ต้นปีให้เตรียมรับมือมาตรการของ ทรัมป์ 2.0 ในการ #ขึ้นภาษีไทย ที่ได้เปรียบดุลการค้ากับสหรัฐมาโดยตลอด และอยู่ในลำดับ 10 ของ List #Dirty15  โดยสหรัฐฯ คือคู่ค้าอันดับ 1 ของไทย และไทยได้ดุลการค้าสหรัฐฯถึง 46,000 ล้านดอลลาร์ จากมูลค่าการค้า ระหว่างไทยกับสหรัฐที่สูงถึง 81,000 ล้านดอลลาร์ 

ผลกระทบครั้งนี้เสียหายเหมือนเราโดนแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ถึง  3 รอบ คือ  1) ทำให้สินค้าไทยทั้งภาคเกษตร และอุตสาหกรรม ที่เคยส่งออกไปสหรัฐสูงถึงเกือบ 64,000 ล้านดอลลาร์ ต้องถูกผลกระทบอย่างรุนแรง นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่าไทยต้องสูญเสียรายได้จากการส่งออก นับ 10,000 ล้านเหรียญ หลังการประกาศขึ้นภาษี 36 เปอร์เซ็นต์ กับไทย 2) ไทยจะโดนสินค้าจากจีนทุ่มตลาดมากขึ้น ซึ่งจะซ้ำเติมผู้ประกอบการ ทั้งรายเล็ก รายใหญ่ ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่เราหวังว่าจะมีการย้ายฐานการผลิตจากจีนมายังไทย ก็มีความเสี่ยงที่จะลดลง เพราะไทยโดนเก็บภาษีสูงกว่าประเทศจีนเสียอีก 3) ถ้าไม่มีมาตรการแก้ไขที่มีประสิทธิภาพ เราจะต้องเผชิญกับการชะลอตัวของการเติบโตทางเศรษฐกิจ จากการลดลงของการส่งออก และการล้นทะลักของสินค้าต่างชาติ โดยนักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่า GDP ไทย อาจจะลดลงถึง 1.2 เปอร์เซ็นต์ จากที่คาดการณ์ว่า GDP เราจะโต 2.5-2.8 เปอร์เซ็นต์

ตนขอเสนอให้นายกฯ เร่งตั้ง  Special Task Force ที่นายกฯควรนั่งเป็นประธานเอง เพื่อระดมสมองในการแก้ไขปัญหานี้อย่างเร่งด่วน เพราะเกี่ยวพันกับหลายหน่วยงาน หลายกระทรวง ไม่ใช่แค่มอบให้ปลัดกระทรวงเป็นประธานไปคุยกันเอง ซึ่งจะไม่สามารถดำเนินการอะไรได้ทันเวลา เพราะระบบรัฐราชการไทย แต่ละกระทรวงจะไม่ยอมกัน และไม่ทำงานร่วมกันเป็นทีม

นายกฯจึงควรที่จะนั่งหัวโต๊ะตัวเอง และที่สำคัญควรจะนำภาคเอกชน ทั้งสภาอุตสาหกรรม หอการค้า สมาคมธนาคารไทย สภา SMEs และนักเศรษฐศาสตร์ เข้ามาร่วมคิดเพื่อระดมกำลังรับมือกับแผ่นดินไหวทั้ง 3 ลูก ก่อนที่ “ตึกประเทศไทย” จะพังทลาย