เมื่อวันที่ 17 เม.ย. 68 ที่รัฐสภา นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่วุฒิสภาตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร วุฒิสภา โดยใช้เวลา 180 วัน ในส่วนของ สส.คิดว่าควรต้องรอผลสรุปของวุฒิสภาก่อนหรือไม่ ว่า ตนคิดว่า เรื่องระยะเวลาคงไม่มีตัวเลขเฉพาะเจาะจง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือทำให้สังคมตกผลึกในเรื่องนี้กับการลงรายละเอียดและศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ รวมถึงความชัดเจนในมาตรการการฟอกเงินและการป้องกันการทุจริตคอร์รัปชั่น และถ้าเรื่องต่างๆ เหล่านี้มีความชัดเจนและสังคมให้การยอมรับมากยิ่งขึ้น โดยไม่ต่อต้านในเรื่องนี้ เนื่องจากมีการทำความเข้าใจอย่างเพียงพอแล้ว ตนคิดว่าจังหวะนั้นเป็นจังหวะที่รัฐบาลจะมีความชอบธรรมในการเดินหน้าเรื่องนี้ต่อ แต่สิ่งที่ขาดความชอบธรรมในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะในส่วนของพรรคเพื่อไทยที่อาจจะมีความเร่งรีบในการดำเนินการเรื่องนี้มากเกินไป
เมื่อถามย้ำว่า จำเป็นต้องรอการศึกษาจากวุฒิสภาหรือไม่ ในเมื่อทางสภาผู้แทนราษฎรก็ศึกษามาแล้ว นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ผลการศึกษาของคณะกรรมาธิการวิสามัญสภาผู้แทนราษฎร ยังลงรายละเอียดไม่มากเพียงพอ และใช้ระยะเวลาในการศึกษาน้อยเกินไป ดังนั้น การศึกษาของวุฒิสภาก็เป็นส่วนหนึ่งที่มาช่วยประกอบมากกว่า ซึ่งตนคิดว่าสิ่งสำคัญในเรื่องนี้นอกจากวุฒิสภาแล้วคือการทำความเข้าใจในสังคม
เมื่อถามว่า คิดว่าผลการศึกษาแค่ไหนที่เห็นว่าจะเป็นเกณฑ์สามารถนำเรื่องเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ มาพิจารณาต่อได้ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ตนคิดว่าคำถามหลายคำถามก็เป็นสิ่งที่ประชาชนกำลังตั้งคำถามอยู่ ถ้ารัฐบาลสามารถตอบความชัดเจนในเรื่องเหล่านั้นได้ทั้งหมด ก็น่าจะสามารถดำเนินการเรื่องนี้ได้ต่อ รวมถึงข้อเสนอของภาคประชาชนที่เสนอเข้ามาคือเรื่องการทำประชามติ ตนคิดว่าไม่ใช่กฎหมายทุกเรื่องจะต้องทำประชามติก่อนเสนอเข้าสภา แต่อย่างน้อยการทำประชามติก็จะเป็นเวทีในการเปิดพื้นที่รณรงค์ ทำความเข้าใจ ก่อนที่จะนำไปสู่คำถามในการทำประชามติ ซึ่งจังหวะที่เหมาะที่สุดเพื่อเป็นการประหยัดงบประมาณ เช่น อาจจะทำประชามติพร้อมการเลือกตั้งครั้งหน้าก็เป็นไปได้ เพราะเรื่องเอ็นเตอร์เทนเมนต์ฯ ไม่ได้มีความจำเป็นเร่งด่วน
“ผมคิดว่าไม่มีความจำเป็นที่กฎหมายฉบับนี้จะต้องผ่านในรัฐบาลชุดนี้ หรือรัฐบาลชุดหน้า ถ้าเราไม่ได้มองในเรื่องผลประโยชน์ที่เกี่ยวข้องกับผู้มีอำนาจรัฐเป็นหลัก ถ้าเรามองเรื่องของการแก้ไขปัญหาในสังคมเป็นหลัก การเปิดพื้นที่อย่างกว้างขวาง ทำความเข้าใจเต็มที่ ก่อนที่จะมีการออกเสียงประชามติซึ่งเป็นทางเลือกหนึ่งและมีความเป็นไปได้ที่ผมคิดว่าจะเป็นทางออกของสังคมที่จะทำให้ทุกคนยอมรับ” นายณัฐพงษ์ กล่าว
เมื่อถามว่ามองท่าทีระหว่างนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และพรรคภูมิใจไทย เกี่ยวกับเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ อย่างไร นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า เรื่องนี้นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ก็ออกมาพูดแล้วว่าอาจจะเป็นความคิดเห็นของนายไชยชนก ชิดชอบ สส.บุรีรัมย์ เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย แต่เรื่องนี้ตนคิดว่าเป็นสิ่งที่พรรคเพื่อไทยต้องไตร่ตรองดูให้ดีก่อนที่จะเร่งผลักดันอะไร เพราะเห็นได้ชัดว่าพรรคร่วมรัฐบาลก็อาจจะไม่เห็นด้วยกับความรีบเร่งในการผลักดันร่างกฎหมายดังกล่าว เรื่องนี้จึงกลับมาที่จุดยืนเดิมคือการสื่อสารทำความเข้าใจกับสังคมให้เป็นที่ยอมรับมากที่สุดก่อน
เมื่อถามย้ำว่า หากเป็นเช่นนี้มองว่าพรรคภูมิใจไทยกับเพื่อไทย ยังไปด้วยกันตลอดรอดฝั่งหรือไม่ เพราะสภายังเหลือเวลาอีก 2 ปี ผู้นำฝ่ายค้าน กล่าวว่า ถ้าดูจากสมการทางการเมืองปัจจุบัน จำนวน สส.ของแต่ละพรรคก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าอย่างไรทางพรรคภูมิใจไทยกับพรรคเพื่อไทย ก็ยังจำเป็นต้องไปต่อด้วยกัน เว้นแต่ว่าอาจจะมีการตัดสินใจจากพรรคเพื่อไทย คือนายกรัฐมนตรี ยุบสภา ซึ่งตนอาจจะแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้ไม่ได้ เพราะอำนาจอยู่ที่ตัวนายกรัฐมนตรีเพียงผู้เดียว.