เมื่อเวลา 08.30 น. วันที่ 18 เม.ย. ที่หอประชุมกองทัพเรือ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ชี้แจงกรณี นายสมิทธิพัฒน์ หลีนวรัตน์ หรือ นายพีช ผู้ขับรถ BMW คู่กรณีรถกระบะ อ้างว่ารู้จักตนเอง โดยใช้คำเรียกขาน “อาต่าย” โดยผบ.ตร. หัวเราะ พร้อมย้ำว่า ทุกคนสามารถเรียกตนว่าอาต่ายได้ ตนได้ดูคลิปเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว และได้เน้นย้ำไปทาง ตำรวจทางหลวง ตำรวจภูธร ในเรื่องการดำเนินคดี และอยากให้แยกมิติของการรู้จักกับความเป็นญาติ ซึ่งในความเป็นตำรวจ ก่อนที่ตนจะได้เป็น ผบ.ตร. รู้จักคนมาเป็นจำนวนมาก ตนไม่เคยปิดกั้นใคร ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองท้องถิ่น สส. ตนเป็นที่รู้จักอยู่แล้ว
ผบ.ตร. กล่าวต่อว่า นายกฤษฎา หลีนวรัตน์ หรือ นายกเบี้ยว อดีตนายกเทศมนตรีตำบลธัญบุรี พ่อของผู้ก่อเหตุ ตนก็รู้จัก ยอมรับว่า มีคนอยากถ่ายรูปกับตน ซึ่งตนก็ถ่ายด้วย ยิ่งเมื่อตนก้าวขึ้นมาเป็น ผบ.ตร. มีคนอยากเป็นลูกเป็นหลานเยอะ และทุกคนก็เรียกตนว่า อาต่าย ซึ่งตนได้ย้ำกับตำรวจทุกคนว่า เราทำงานใกล้ชิดกับประชาชน ขอให้ทำตัวเหมือนญาติ ใครจะเรียกเราน้า หรืออา เป็นเรื่องที่ดี ตนไม่ชอบให้ใครมาเรียกว่าท่าน ดังนั้นความใกล้ชิดหรือรู้จักกันเป็นเรื่องปกติ แต่สิ่งที่เด็กคนนี้กระทำ เราแยกออกไป และยืนยันว่า ตนไม่มีญาติแบบนี้ ตนตระกูลพันธุ์เพ็ชร์ และเขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับทางพ่อหรือแม่ของตนด้วย
“สิ่งที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องขาดวุฒิภาวะและจิตสำนึก ขาดความเอื้ออาทรบนท้องถนน ขาดความรับผิดชอบต่อผู้อื่น อยากให้มองว่าหากรถกระบะมีเด็กอยู่ด้วย จะเป็นอย่างไร การขับรถต้องมีสติ และเมื่อเกิดเหตุ ไปอ้าง หรือเรียก นั่นคือนิสัยการโอ้อวดให้พ้นผิด เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ยิ่งโอ้อวด ยิ่งทำเช่นนี้ ยิ่งโดน ตนได้กำชับไปยังกรมทางหลวงพิเศษ ในเรื่องของการจราจร ต้องดำเนินการในคดีอุบัติเหตุ ส่วนคดีอาญา เป็นเรื่องที่ผู้เสียหายต้องไปร้องทุกข์กล่าวโทษ สภ.ลำลูกกา ซึ่งตนได้เน้นย้ำไปทางผู้บัญชาการภาค 1 ให้ทำคดีตรงไปตรงมา ไม่มีการช่วยเด็ดขาด ให้ผู้กระทำผิดได้รับบทเรียนและโทษทัณฑ์ที่เป็นกฎเกณฑ์ของสังคม ทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย เพื่อให้เกิดสำนึกว่าสิ่งที่ตัวเองทำ ต้องปรับปรุงอย่างไร ส่วนใครจะไปลงเล่นการเมืองอย่างไรตนไม่รู้ แต่ใครจะไปลงคะแนนเลือก ก็จงมีวิจารณญาณว่าควรจะเลือกหรือไม่”
เมื่อถามว่า การที่ผู้ก่อเหตุพยายามโอ้อวดว่ารู้จักคนใหญ่คนโต หวังต้องการให้คู่กรณีเกิดความยำเกรงหรือไม่ ผบ.ตร กล่าวว่า เป็นเรื่องของนิสัยคน ตัวตนคน บางคนอาจจะไปกระทบกระทั่ง แต่เราต้องแยกแยะให้ดี ตนไม่ได้เข้าข้างใคร พ่อเขาจะเป็นอย่างไร ก็แยกแยะไป ลูกชายอีกคนเป็น สส. ก็แยกแยะ ส่วนตัวเด็กที่ก่อเหตุจะด้วยอุปนิสัย เราต้องแยก หากทำผิด ต้องได้รับโทษทัณฑ์
“การไปโอ้อวดแอบอ้าง หวังให้คู่กรณีหรือเจ้าหน้าที่รัฐเกรงใจ ได้รู้ว่าผมรู้จักคนใหญ่คนโต แต่อย่าลืมว่าโลกเปลี่ยนไปแล้ว และมั่นใจว่าตำรวจยุคใหม่ ไม่ได้สนใจ ว่าคุณจะรู้จัก ผบ.ตร. รู้จักผู้หลักผู้ใหญ่ในรัฐบาลที่ไปงานบวชของคุณ คำว่าหลานอาต่าย ผมฟังแล้วไม่รื่นหูเท่าไหร่ แค่รู้สึกว่าทำไมทำเช่นนี้ ยืนยันผมมีลูกคนเดียว ย้ำเสมอว่าอย่าทำตัวเป็นขยะสังคม” ผบ.ตร. กล่าว
เมื่อถามถึงข้อกังวล ว่าจะมีการวิ่งเต้นเรื่องคดีนั้น ผบ.ตร. กล่าวย้ำไปแล้วว่าให้ทำตรงไปตรงมา ไม่มีการช่วย พบใครช่วยเหลือ ตนก็จะเล่นตำรวจด้วย ใครจะปลูกฝังไม่ดีกันมาอย่างไร ไม่ใช่เรื่องของตน เพราะตนไม่ใช่ญาติ คงไม่จำเป็นต้องไปสั่งสอนใคร ก็รับผิดชอบกันเองตามกฎหมาย
ผบ.ตร. กล่าวด้วยว่า ส่วนคดีอาญา รอให้ผู้เสียหายไปร้องทุกข์กล่าวโทษในคดีอื่น ส่วนจะเป็นฐานความผิดพยายามฆ่าหรือไม่นั้น เป็นเรื่องที่ต้องสอบสวนถึงพฤติการณ์ขับรถ อาการบาดเจ็บของผู้เสียหาย ก็ต้องนำมาพิจารณา เป็นเหตุและองค์ประกอบในฐานความผิดใด ทั้งนี้ อยากวิงวอนสังคม ไม่อยากให้วิพากษ์วิจารณ์ หรือเอาตนไปเกี่ยวข้อง โดยเบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเรียกมารับทราบข้อกล่าวหา คดีที่เกี่ยวข้องกับการจราจรก่อน ซึ่งตนได้กำชับว่าให้รีบดำเนินการโดยเร็วที่สุด เข้าใจว่าสังคมตั้งข้อสังเกตว่าเพระเหตุใดถึงล่าช้า ส่วนเรื่องคดีอาญา ก็จะให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเดินทางไปพบผู้เสียหาย ไม่ใช่รอให้เขามา.