เมื่อวันที่ 19 เม.ย. นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) กล่าวว่า ในระยะนี้ประเทศไทยมีสภาพอากาศแปรปรวนเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ซึ่งจากการรายงานการติดตามสภาพอากาศ โดยกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกลาง ร่วมกับกรมอุตนิยมวิทยา พบว่า ช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค. อากาศจะร้อนอบอ้าว และมีอากาศร้อนจัดเป็นบางวันในบางช่วง ประกอบกับมีมวลอากาศเย็นจากประเทศจีนแผ่ลงมาปะทะกับมวลอากาศร้อนที่ปกคลุมประเทศไทย ส่งผลให้เกิดพายุฤดูร้อน และอาจจะเกิดฝนตกหนัก น้ำป่าไหลหลาก น้ำท่วมฉับพลับในบางพื้นที่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรมว.มหาดไทย มีความห่วงใยความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน จึงได้สั่งการให้ ปภ. ประสานจังหวัด เตรียมความพร้อมรับมือกับสาธารณภัยที่อาจจะเกิดขึ้นในพื้นที่ โดยกำชับให้เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์ภัย รวมถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่อาจก่อให้เกิดพายุฤดูร้อนจากกรมอุตนิยมวิทยาอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งให้ฝ่ายปกครองและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น แจ้งเตือนประชาชนให้ทราบถึงสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นจากพายุฤดูร้อนผ่านสื่อในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งยังได้เน้นย้ำให้อำเภอและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เตรียมความพร้อมในเชิงป้องกันก่อนเกิดภัย โดยสร้างการรับรู้ให้ประชาชนทราบถึงแนวทางการปฏิบัติตนอย่างปลอดภัยเมื่อเกิดสาธารณภัย ทั้งการตรวจสอบความมั่นคงแข็งแรงของที่พักอาศัย การป้องกันอันตรายจากกรณีฟ้าผ่าหรือกรณีต้นไม้หรือสิ่งปลูกสร้างที่ไม่มั่นคงแข็งแรงล้มทับ รวมถึงแจ้งช่องทางการขอรับความช่วยเหลือจากภาครัฐ ตลอดจนมาตรการในการดูแลประชาชน โดยอาศัยกลไกท้องถิ่นท้องที่ ผู้นำชุมชน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และช่องทางการสื่อสารต่าง ๆ ในพื้นที่ที่ประชาชนเข้าใจและเข้าถึงได้ง่ายอย่างต่อเนื่อง อาทิ หอกระจาย ข่าวประจำหมู่บ้าน นอกจากนี้ หากในพื้นที่เกิดสถานการณ์ภัยที่ส่งผลกระทบต่อความเสียหายด้านชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการสำรวจความเสียหายและให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย ตามระเบียบและหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องโดยเร็ว

นายภาสกร กล่าวต่อว่า ขณะนี้ กรม ปภ. ได้ประสานไปยังทุกจังหวัด รวมถึงสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดและศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต ให้จัดเจ้าหน้าที่ติดตามข้อมูลพยากรณ์อากาศ สภาพอากาศ และปริมาณน้ำ อย่างต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง และเตรียมความพร้อมของเครื่องจักรกลสาธารณภัย รถปฏิบัติการ และเจ้าหน้าที่ชุดเผชิญสถานการณ์วิกฤต (ERT) ให้พร้อมเข้าเผชิญเหตุและช่วยเหลือผู้ประสบภัยทันทีที่เกิดสถานการณ์ขึ้น และให้จังหวัดประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนติดตามข้อมูลสภาวะอากาศและข่าวสารจากทางราชการอย่างใกล้ชิด และแจ้งเตือนประชาชนที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยทราบล่วงหน้า เพื่อให้ประชาชนเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์โดยปฏิบัติตามคำแนะนำจากทางราชการอย่างเคร่งครัด