แค่โพลของสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้าโพล) ที่ตั้งคำถามกระทรวงที่ประชาชนอยากให้ปรับรัฐมนตรีมากกว่าไม่ปรับ มีเพียงกระทรวงเดียว คือ กระทรวงพาณิชย์ โดย 57.02% ระบุว่า ควรปรับเปลี่ยน ขณะที่ 41.60% ระบุว่า ไม่ควรปรับเปลี่ยน ขณะที่กระทรวงอื่นๆ ที่มีค่าความเห็นปรับและไม่ปรับใกล้เคียงกัน คือ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย 48.55% ระบุว่า ควรปรับเปลี่ยน ขณะที่ 49.47% ระบุว่า ไม่ควรปรับเปลี่ยน ดูเหมือนจะไม่มีน้ำหนัก เท่าความเห็นของนักการเมืองอาวุโสจากพรรคเพื่อไทย (พท.) ก่อนหน้านั้น “นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ” สส.บัญชีรายชื่อ พรรค พท. ในฐานะประธานกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) ส่วนกระแสข่าวปรับ ครม. ในทีมเศรษฐกิจนั้น มีความเป็นไปได้ เท่าที่คุยกับ สส.มีเสียงสะท้อนแสดงความเป็นห่วงเรื่องปัญหาเศรษฐกิจ อยากให้มีการแก้ไข โดยเฉพาะกระทรวงที่เกี่ยวกับการค้าขาย ที่เป็นห่วงในส่วนสินค้าเกษตร แต่คนตัดสินใจคือนายกฯ

สำหรับกระทรวงพาณิชย์ บุคคลที่ดำรงตำแหน่งคือ “นายพิชัย นริพทะพันธุ์” มีทำหน้าที่ดูแลเรื่องการส่งออกสินค้าไปต่างประเทศ ซึ่งก่อนหน้านั้นเคยถูกที่ประชุมพรรค พท. แสดงความไม่พอใจในการทำงานมาแล้ว เพราะมองว่า ให้น้ำหนักในการเดินทางไปต่างประเทศ ไม่สนใจเรื่องการแก้ไขปัญหาสินค้าราคาเกษตรตกต่ำ จนมีข่าวอาจถูกปรับ ครม.

ตอกย้ำด้วยความเห็นของ “นายสมคิด เชื้อคง” รองเลขาธิการนายกฯ ฝ่ายการเมือง และสมาชิกพรรค พท. ให้ความเห็นถึงผลโพลของนิด้าโพลที่พบว่าประชาชนอยากให้ปรับ ครม.โดยเร็วที่สุด โดยเฉพาะกระทรวงพาณิชย์ ว่า ได้ยินสมาชิกพรรค พท.หลายคนพูดถึงเรื่องราคาพืชผลทางการเกษตร พืชผลบางชนิดราคาตก บางตัวก็ได้อยู่ อย่างเช่น ยางพารา ปาล์ม แต่ข้าวนาปรัง และมันสำปะหลังจะมีปัญหา ฉะนั้นกระทรวงพาณิชย์จะต้องไปปรับปรุงเร่งรัดในการทำงาน เมื่อถามว่า มองว่าช่วงเวลาใดเหมาะสมในการปรับ ครม. หรือควรผ่านการพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 69 ไปก่อน นายสมคิด กล่าวว่า ถ้าจะปรับก็หลังกฎหมายงบประมาณ น่าจะเป็นช่วง มิ.ย. ซึ่งกฎหมายงบประมาณเข้าวาระแรกประมาณวันที่ 28-30 พ.ค. แต่โดยหลักการปรับ ครม.เป็นเรื่องปกติมีการปรับในทุกรัฐบาล

แต่ที่สำคัญคือ ท่าทีพรรคร่วมรัฐบาล จะเสนอปรับในส่วนของพรรคตัวเอง หรือจะมีการขอแลกกระทรวงหรือไม่ โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย (พท.) กับภูมิใจไทย (ภท.) ซึ่งดูแลกระทรวงมหาดไทย มีกลไกหลายอย่างที่เกื้อหนุนให้ได้ประโยชน์ในการเลือกตั้ง ท่ามกลางกระแสความขัดแย้งของสองพรรคการเมือง ซึ่งถ้าพรรค พท.ยื่นข้อเสนอ เชื่อว่าพรรคร่วมรัฐบาลที่มีเสียงอันดับ 2 จะไม่ยอมแน่ เว้นจะมีข้อแลกเปลี่ยนที่สมน้ำสมเนื้อ ซึ่งอาจเป็นกระทรวงคมนาคม ซึ่ง พท. ก็คงไม่ยอมทิ้งหน่วยงานสำคัญ ที่มีโครงการเป็นมูลค่าหลายแสนล้านบาท หรือจะเลือกปรับพรรคสีน้ำเงินออก

นั่นหมายความว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ “น.ส.แพทองธาร ชินวัตร” ต้องอยู่ในภาวะเสียงปริ่มน้ำ จากเดิมรัฐบาลมีเสียงในมือ 254 เสียง (จากเดิม 322 เสียง) ซึ่งเชื่อว่าผู้มากบารมีอย่าง “นายทักษิณ ชินวัตร” คงไม่ต้องการให้บุตรสาวเผชิญสถานการณ์เช่นนั้น อีกทั้งถ้าหากปรับ ภท.ออกจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาลครั้งหน้า ซึ่งหลายคนเชื่อว่า พรรค พท. ไม่มีโอกาสได้เสียงเกินกึ่งหนึ่ง ถ้าหากต้องหาพันธมิตรจัดตั้งรัฐบาล จะมีปัญหาหรือไม่ โดยเฉพาะถ้าเสียงใกล้เคียงกับพรรคประชาชน (ปชน.) แต่ไม่เกินครึ่ง และต้องหาเสียงมาเพิ่ม เพื่อช่วงชิงในการเป็นฝ่ายบริหาร

ด้าน “นายอนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายกฯ และรมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรค ภท. กล่าวถึงกระแสข่าวพรรค พท.จะดึงกระทรวงมหาดไทยกลับคืนว่า เห็นตามข่าวหนังสือพิมพ์ แต่ไม่มีความกังวล เพราะเราเป็นพรรคร่วมรัฐบาล จัดตั้งรัฐบาลมาด้วยกัน พรรค ภท. มี สส. 71 คน เราก็ยกมือสนับสนุนนายกฯ จากพรรค พท. แกนนำจัดตั้งรัฐบาลมาถึง 2 คนแล้ว คือนายเศรษฐา ทวีสิน และ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ยังงงอยู่เลยว่า สัญญาณปรับ ครม. ส่งไปที่สำนักข่าวหรือผู้วิพากษ์วิจารณ์ แต่ไม่มาถึงหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาล ถามหัวหน้าพรรคร่วมคนไหนก็ไม่มีใครบอกว่าได้รับสัญญาณใดๆ ทุกคนยังมีความตั้งใจ เต็มใจในการปฏิบัติหน้าที่สนองนโยบายของนายกฯ

เมื่อถามว่า การปล่อยข่าวแบบนี้เป็นการเขย่าเก้าอี้กระทรวงมหาดไทย และพรรค ภท. หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า โอ้โห…ต้องใช้แรงเยอะนะ ไม่น่าจะมีเรื่องพวกนี้ จะเขย่าทำไม ต่างคนต่างทำงาน ไม่เห็นมีปัญหาอะไรในการทำงาน ทำงานร่วมกันมาจะ 2 ปีอยู่แล้ว ช่วงก่อนสงกรานต์ได้มีการไปรับประทานอาหารเย็นร่วมกับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ และแขกจากต่างประเทศที่เคยรู้จักกัน ซึ่งการพูดคุยวันนั้นไม่ใช่เรื่องการเมือง เพราะตนก็รู้จักกับแขกของนายทักษิณด้วย

นอกจากนี้ “นายอนุทิน” ยังกล่าวว่า ช่วงสงกรานต์ได้พูดคุยกับนายไชยชนก ชิดชอบ สส.บุรีรัมย์ เลขาธิการพรรค ภท. จากประเด็นมีการผิดคิว เรื่องความเห็นไม่เอากาสิโน นายไชยชนก เองก็เปรียบเสมือนลูกหลาน เช่นเดียวกับลูกตน ที่เสมือนลูกหลานของครอบครัว “ชิดชอบ” เช่นกัน เรามีความผูกพันกันลึกมากอยู่แล้ว  ซึ่งได้พูดคุยกันไปหมดแล้วว่า พรรค ภท.ยังจะสนับสนุนนโยบายของนายกฯ ตราบใดที่ยังเป็นพรรคร่วมรัฐบาล เมื่อถามว่า เรื่องดังกล่าวต้องมีการทำความเข้าใจเพิ่มเติมอีกหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า นี่ไม่ใช่โรงเรียน ใครทำผิดอะไรนิดหน่อยต้องมีบทลงโทษ ทุกคนสามารถที่จะแสดงความเห็นของตนเองได้ ได้ยืนยันตั้งแต่วันแรกแล้วว่า สิ่งที่นายไชยชนกพูดเป็นความคิดเห็นส่วนตัว ไม่ใช่มติของพรรค ภท. และหากไปคัดลอกบันทึกการประชุมของพรรค ภท. สองครั้งล่าสุด ไม่มีมติใดๆ ในเรื่องนี้

ต้องรอดูท่าทีหัวหน้าพรรค ภท. จะทำให้ “นายทักษิณ ชินวัตร” ไม่หวาดระแวง หรือหยุดกระแสความไม่พอใจของ สส. พรรค พท.ได้หรือไม่ ซึ่งเชื่อว่า ทั้ง พท.และ ภท.คงไม่อยากเดินเข้าสู่สนามเลือกตั้งในเร็ววันนี้

ส่วนความเคลื่อนไหวของพรรคฝ่ายค้าน ก็มาตามนัด หลังประกาศจะเดินหน้าใช้ยุทธการโรยเกลือ โดย “นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร” สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) แถลงความคืบหน้า “ยุทธการโรยเกลือ” ว่า หลังอภิปรายไม่ไว้วางใจ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ จะดำเนินการ 3 เรื่อง 1.กรณีนายกฯ ใช้ “ตั๋วสัญญาใช้เงิน” หรือ “ตั๋ว PN” 9 ฉบับ โดยไม่กำหนดชำระเงิน ไม่มีดอกเบี้ย สร้างกระบวนการให้ดูเสมือนว่าซื้อหุ้นจากครอบครัวและเครือญาติ รวมมูลค่ากว่า 4.4 พันล้านบาท ทั้งที่ความเป็นจริง การดำเนินการดังกล่าวถูกตั้งข้อสงสัยว่า หลีกเลี่ยงภาษีการรับให้มูลค่า 218 ล้านบาทหรือไม่ ซึ่งจะแจ้งต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อไต่สวน 2 ประเด็นต่อไป ไม่ว่าจะเป็นการทำนิติกรรมอำพรางเลี่ยงภาษี เข้าข่ายผิด 172 แห่ง พ.ร.ป.ป.ป.ช. รวมทั้งการยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินอันมีข้อความอันเป็นเท็จ ตามมาตรา 167 ของ พ.ร.ป.ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดนายกฯ ต่อไป

2.โฉนด 10 แปลงที่ตั้งโรงแรมเทมส์ วัลลีย์ เขาใหญ่ จากข้อมูลเชื่อได้ว่า การออกโฉนด 4 แปลง เป็นการออกโฉนดโดยคลาดเคลื่อน หรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย เมื่อ 28 มี.ค. พรรคได้ยื่นหนังสือกับอธิบดีกรมที่ดิน ดำเนินการเพิกถอนโฉนดที่ตั้งโรงแรมดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว ทางพรรค ปชน.จะติดตามกรณีนี้ต่อไป 3. ข้อสงสัยนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ  บิดา น.ส.แพทองธาร นายกฯ ได้รับอภิสิทธิ์เหนือผู้ต้องขังรายอื่น เป็นการทำลายหลักนิติรัฐ ซึ่งกำหนดให้ประชาชนต้องมีความเสมอภาคต่อหน้ากฎหมาย กรณีนี้ ปชน.มอบหมายให้นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ ร้องต่อ ป.ป.ช. เพื่อให้ดำเนินการไต่สวน และชี้มูลความผิดนายกฯ ต่อไป

ส่วนประเด็นการเตรียมยื่น ป.ป.ช.ตรวจสอบนั้น นายวิโรจน์ กล่าวว่า รอตรวจรายละเอียดว่าครบถ้วนหรือไม่ เราต้องฝากถึงอธิบดีกรมสรรพากร หลายคนบอกว่าอธิบดีกรมสรรพากรอาจดึงเรื่องไม่ส่งคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากร หรืออธิบดีกรมที่ดินอาจดึงเรื่อง ไม่นำไปสู่กระบวนการเพิกถอนโฉนดที่ตั้งโรงแรมเทมส์ วัลลีย์ พรรค ปชน. จะติดตามอย่างต่อเนื่อง เพื่อความเป็นธรรมที่เกิดขึ้นกับประชาชนทุกคน การเรียกร้องให้นายกฯ เสียภาษีประหนึ่งประชาชนทั่วไปคนหนึ่ง ไม่ใช่ข้อเรียกร้องที่มากเกินไป พฤติกรรมการใช้ตั๋ว PN ถ้าเรายอมรับกันได้ ผู้ประกอบการทั่วไป เจ้าของบริษัททั่วไป ทำตามโมเดลของนายกฯ ประเทศชาติจะเป็นอย่างไร ไม่ได้เป็นข้อเรียกร้องที่สูงเกินไปเลย ถ้าปกป้องหรือชะลอเรื่อง จะดำเนินการทางกฎหมายกับอธิบดีกรมสรรพากร และอธิบดีกรมที่ดิน

งานนี้คงต้องตามดูบทสรุปในเรื่องนี้ จะมีผลกระทบกับหัวหน้ารัฐบาลหรือไม่ กระบวนตรวจสอบเรื่องนี้ จะทำให้สังคมมั่นใจหรือไม่ โดยเฉพาะบทบาทของข้าราชการประจำ

“ทีมข่าวการเมือง”