กระแสข่าวการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) มาเป็นระยะ ระดับหัวหน้าพรรคแต่ละคนก็ยังนิ่งสงบสยบความเคลื่อนไหว เพราะเรื่องนี้อยู่ในมือ “นายกฯ อิ๊งค์” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร คนเดียว “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า พูดคุยกับนายกฯ ตลอด ในเรื่องการทำงาน ถ้านายกฯ ไม่ได้ให้ความมั่นใจว่าภูมิใจไทยจะเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ตนคงไม่ได้ยืนอยู่ตรงนี้

เสี่ยหนูยังบอกผู้สื่อข่าวว่า “มีอะไรตั้งเยอะแยะให้ถาม ทั้งการช่วยเหลือภัยพิบัติ แผ่นดินไหว เยอะแยะไปหมดไม่ถาม ถามแต่เรื่องไม่เป็นสับปะรด ประเด็นที่มันเกิดขึ้น ก็พวกคุณตั้งมาทั้งนั้น” แต่ผู้สื่อข่าวยังถามถึงกระแสข่าวว่ามีสูตรใหม่ดึงพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เข้ามาร่วม และเอาพรรคภูมิใจไทยออกเป็นไปได้หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า จะเป็นไปได้อย่างไรว่า พรรคภูมิใจไทยจะไปร่วมกับพรรคประชาชน (ปชน.) จับมือกันเป็นฝ่ายค้าน
“ธรรมดาการเมืองสมัยก่อน มีหัวหน้าพรรคเยอะ เขาก็คิดว่าจะชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีกัน มีอะไรก็ไปเขย่าตำแหน่ง แต่ตอนนี้ตำแหน่งนายกฯ มั่นคง และแข็งแรง ไม่มีคนคิดจะแข่งหรือคิดไม่ดีกับนายกฯ จะเอานายกฯ ลงมาจากตำแหน่ง ในพรรคร่วมรัฐบาลไม่มีใครคิดเลย ทีนี้ก็เลยมาแกล้งตน แค่นั้นเอง ไม่มีอะไร”

“บิ๊กอ้วน” ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสความขัดแย้งระหว่างพรรคภูมิใจไทยกับพรรคเพื่อไทย ว่า พรรคร่วมรัฐบาลทั้งหมดมีประเด็นใดที่ขัดแย้งกัน หากจะมีความไม่เข้าใจกันคงเป็นเรื่องกาสิโน ก็ชี้แจงว่า นโยบายไม่ได้เป็นแบบนั้น เป็นเรื่อง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร หรือเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ เพื่อแก้ไขปัญหาหลายอย่าง และกระตุ้นเศรษฐกิจให้มันเติบโตขึ้น กาสิโนเป็นส่วนเล็กไม่ถึง 5-10%
“พรรคภูมิใจไทยกับพรรคเพื่อไทยจะเดินร่วมกันต่อไปได้หรือไม่ ก็อยู่ที่ภูมิใจไทยและอยู่ที่ภายในของพรรคเพื่อไทย แต่ละพรรคก็ต้องไปทำความเข้าใจกันเอง ทำความเข้าใจได้ยอมรับหลักการได้ ก็เดินต่อไปได้ เพื่อไทยยังเหมือนเดิม แต่ฝ่ายภูมิใจไทยก็ต้องให้ไปถามภายในพรรคเอง”

นายไพบูลย์ นิติตะวัน เลขาธิการพรรค พปชร. กล่าวปฏิเสธข่าวลือที่ พปชร.จะเข้าร่วมรัฐบาลแทนพรรคภูมิใจไทย ว่า “เป็นการปล่อยข่าวเฟคนิวส์ เพื่อหวังผลประโยชน์ ยืนยันจะไม่มีการกลับไปร่วมรัฐบาลอย่างแน่นอน”
“เสี่ยโอ๋” ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรค พปชร. กล่าวถึงกระแสข่าวการดึงพรรค พปชร. ร่วมรัฐบาลแทนพรรคภูมิใจไทยว่า ยังไม่มีการติดต่อมา คิดว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะทำให้รัฐบาลเสียงจะปริ่มน้ำ การทำงานลำบาก มีโอกาสเกิดอุบัติเหตุทางการเมือง เสียง สส.ไม่พอก็อาจนำไปสู่การตรวจสอบเรื่องอื่นๆ เชื่อว่า เขาไม่กล้าเอาภูมิใจไทยออก ส่วนหากจะดูด สส.พปชร.ไปทีละคนก็ตอบไม่ได้เพราะยังไม่เกิดขึ้น
“ยังมั่นใจว่า สส.ของพรรค ทุกคนมีอุดมการณ์ ยืนหยัดที่จะทำงานให้กับพรรคอยู่ ส่วนคนที่อยากจะดูด สส. หรือทำอะไรไม่ถูกต้องก็มี สส.พปชร.จะครบหรือไม่ก็ต้องไปเช็กชื่อก่อน แต่ถ้าคนอยากดูด ก็ห้ามเขาไม่ได้ สำหรับเสถียรภาพของรัฐบาล ผมเห็นว่าทำงานลำบาก เพราะหลายอย่างที่เขาอยากทำขัดความรู้สึกประชาชน เมื่อคนไม่ยอมรับก็ไปต่อไม่ได้”

ต่อมา ภายหลังประชุม ครม. “นายกฯ อิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณีมีกระแสข่าวปรับ ครม.ด้วยเสียงหัวเราะ ว่า ตอนนี้ทุกอย่างยังเหมือนเดิม แต่ความจริงแล้วใดๆ ในโลกล้วนอนิจจัง ไม่ว่าจะตำแหน่งทุกอย่าง ตำแหน่งของใครคนใดคนหนึ่ง หรือแม้แต่ตำแหน่งของนายกฯ ก็เช่นกัน เพราะฉะนั้นเราก็ทำใจให้นิ่งไว้ นี่ไม่ใช่การสื่อสารไปยังรัฐมนตรี แต่บอกไปถึงทุกๆ คนว่า เราต้องใจนิ่งๆ ย้ำว่าตอนนี้ทุกอย่างยังเหมือนเดิมไม่ได้คิดจะปรับอะไร
“ดิฉันชอบทำงานเป็นทีม ชอบทำงานในแบบที่ทำงานด้วยกันไม่ต้องสู้กันในแต่ละกระทรวง ถ้าเกิดปัญหาอะไรขึ้นมา เราไปปรับแก้ตอนนั้น ครม.ชุดนี้มีความสามัคคี เมื่อมอบนโยบายใดๆ ทุกคนก็พยายามทำเต็มที่และเกิดขึ้นจริง แต่ก็เข้าใจหลายๆ กระทรวงที่บางทีเกิดเหตุการณ์ที่ไม่ได้คาดไว้ บางนโยบายหรือบางอย่างอาจขลุกขลักบ้างอันนี้เข้าใจได้”
เมื่อถามถึงกรณีมีการวิเคราะห์กันว่าจะปรับพรรคภูมิใจไทยออก แล้วนำพรรค พปชร. เข้ามาแทน นายกฯ กล่าวว่า “อะไรนะเอาพรรคภูมิใจไทยออก เอาพลังประชารัฐเข้าแทน หืม อันนี้ โอ้โห คำถามนี้แรง ยังไม่มีอย่างนั้นนะคะ ตอนนี้ทุกอย่างเหมือนเดิมอยู่” ผู้สื่อข่าวถามอีกว่าในอนาคตมีทางนำพรรค พปชร.เข้ามาได้หรือไม่ เพราะตอนหาเสียงเคยบอกว่าให้ดูหน้านายกฯ จะไม่จับมือกับคนทำรัฐประหาร นายกฯ กล่าวว่า “ใช่ค่ะ ที่บอกว่าดูหน้าดิฉันไว้จะไม่จับมือกับคนทำรัฐประหาร อันนี้คือ 2 ปีที่แล้ว แต่เผอิญคะแนนมันไม่ถึงก็เลยต้องจับกันหน่อย และจับมาสักพักแล้วเหมือนกัน ทำไมคำถามนี้ดีเลย์ (delay ช้า) จัง” ผู้สื่อข่าวถามว่า พรรคร่วมรัฐบาลจะเป็นเหมือนในปัจจุบันจนจบรัฐบาลหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า “ก็อยากให้เป็นเช่นนั้น มีอะไรอีกหรือเปล่า เล่าให้ฟังหน่อยบ้างสิ ดูดวงให้หน่อย”
นายกฯ กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลไทยเลื่อนการเดินทางไปเจรจาเรื่องการขึ้นภาษีตอบโต้ของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ที่สหรัฐอเมริกา ว่า ทีมเจรจาได้เลื่อนออกไปจากเดิมที่กำหนดนัดหารือร่วมกันในวันที่ 23 เม.ย. 68 นี้ เพราะได้รับการแจ้งกลับมาว่า มีข้อเสนอบางประเด็นของสหรัฐ ที่อยากให้ไทยกลับมาทบทวน จึงจะนัดใหม่อีกครั้ง ซึ่งคิดว่าคงเลื่อนไปแต่ยังอยู่ในกรอบ 90 วันในการทบทวนเจรจา ขณะเดียวกันยังมีทีมทำงานแบบไม่เป็นทางการที่ติดตามการทำงานตลอด และยังมีการปรึกษาทีมนักวิชาการต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง
ผู้สื่อข่าวถามว่าจากประเด็นปัญหาเรื่องของสหรัฐ อาจทำให้รัฐบาลต้องทบทวนนโยบายบางอย่าง โดยเฉพาะการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต หรือไม่ นายกฯ ยืนยันว่า ขณะนี้ทุกอย่างยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่ต้องพิจารณาในส่วนที่ปรับปรุงได้ จะทำได้แค่ไหน แต่ตอนนี้ขอโฟกัสในเรื่องการดูแลเกษตรกร และผู้ประกอบการ ที่จะได้รับผลกระทบจากกรณีสหรัฐ ให้มากที่สุด เราคงไม่ยอมทุกอย่างให้เขา ต้องเป็นสิ่งที่เราพร้อมจะให้เขาและเขาก็ต้องพร้อมจะให้เราด้วย ซึ่งได้คุยกับทีมแล้ว โดยไม่ใช่การเทหมดหน้าตัก เพราะไทยก็มีความสัมพันธ์ของสองประเทศมหาอำนาจ จึงต้องรักษาดุลให้ดี

จากกรณีการให้วีซ่านักท่องเที่ยวบางประเทศ แล้วมาอยู่เกินเวลาหรือแอบประกอบอาชีพ นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า นายกฯ สั่งการในที่ประชุมให้ศึกษาถึงความเหมาะสมในปรับมาตรการวีซ่าฟรี จากที่รัฐบาลมีมาตรการในการส่งเสริมการท่องเที่ยวในการให้วีซ่าฟรีกับบางประเทศ เป็นจำนวน 60 วัน และ 90 วันนั้น มีนักท่องเที่ยวบางกลุ่มใช้สิทธิดังกล่าวในการทำผิดกฎหมาย เช่น การอยู่เกินเวลา และการเข้ามาทำงานแบบผิดกฎหมาย
จึงขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เร่งกวดขันและบังคับใช้กฎหมายกับผู้ที่กระทำผิด รวมทั้งศึกษาและรวบรวมผลกระทบของมาตรการดังกล่าว โดยเฉพาะความเหมาะสมของระยะเวลาในการอยู่ในประเทศ เพื่อปรับเปลี่ยนมาตรการให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ และเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่จะส่งเสริมการท่องเที่ยวเป็นหลัก

ปิดท้ายด้วยเรื่อง พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าคดีฮั้วเลือก สว. ในส่วนของคดีฟอกเงินที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กำลังสอบสวนว่า พนักงานสอบสวนรายงานว่าคืบหน้าพอสมควร อยากทำให้ทันภายในกรอบเวลา อาจเป็นสิ้นเดือน เม.ย.นี้ ต้องมีกระบวนการการแจ้งข้อกล่าวหาหรือจับกุม จะส่งฟ้องหรือไม่ส่งฟ้อง ซึ่งทีมสอบสวนมีกรอบเวลา ที่ถูกกำหนดไว้ตามกฎหมาย เช่น การสอบสวนจะสอบสวนที่ใด เวลาใด แต่ต้องรวดเร็ว