เมื่อวันที่ 24 เม.ย. ที่รัฐสภา นายวรภพ วิริยะโรจน์ และ นายศุภโชติ ไชยสัจ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชนแถลงถึงประเด็นการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนแบบ Feed-in Tariff รอบ 5,200 เมกะวัตต์ และรอบเพิ่มเติม 3,600 เมกะวัตต์ ที่รัฐบาลเพื่อไทยกำลังสานต่อขบวนการค่าไฟฟ้าแพงจากรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี
โดยการรับซื้อไฟฟ้าทั้งสองรอบดังกล่าวพบความผิดปกติหลายประการ ทั้งการรับซื้อที่แพงเกินจริงเพราะไม่มีการเปิดประมูลราคารับซื้อ กระบวนการคัดเลือกที่เปิดช่องให้เกิดการทุจริตและดุลพินิจในการคัดเลือกเอกชนรายใดก็ได้ จากการที่ไม่มีการประกาศหลักเกณฑ์ในการให้คะแนนเทคนิคออกมาล่วงหน้า ทั้งยังดึงดันจะดำเนินการต่อทั้งที่พบความผิดปกติและมีแนวทางอย่างอื่นที่มีประสิทธิภาพกว่าอย่าง Direct PPA ทั้งนี้ตัวแทนพรรคประชาชนเชิญชวนประชาชนร่วมจับตาประเด็นดังกล่าว เพื่อกดดันรัฐบาลให้ดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างโปร่งใสและเป็นประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน
นายวรภพ กล่าวถึงสาเหตุของปัญหาการรับซื้อไฟฟ้าทั้งสองรอบโดยสรุปว่า การรับซื้อไฟฟ้าพลังงานสะอาดที่รัฐบาลรับซื้อในครั้งนี้ริเริ่มตั้งแต่สมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ เมื่อปี 2565 จำนวนกว่า 5,200 เมกะวัตต์ และรอบเพิ่มเติมอีกกว่า 3,600 เมกะวัตต์ ในขณะที่กำลังการผลิตไฟฟ้าสำรองของประเทศไทยล้นอยู่แล้ว สังเกตได้จากโรงไฟฟ้าเอกชนขนาดใหญ่กว่า 7 จากทั้งหมด 13 โรงไม่ได้เดินเครื่องผลิตไฟฟ้าเลยแม้แต่วันเดียว อีกทั้งการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานสะอาดทั้งสองรอบเกือบ 9,000 เมกะวัตต์ดังกล่าว ยังไม่มีการประมูลราคารับซื้อไฟฟ้า ทำให้ราคารับซื้อต่อหน่วยแพงกว่าต้นทุนที่ควรจะเป็น (แสงอาทิตย์ 2.2 บาท/หน่วย, ลม 3.1 บาท/หน่วย) ซึ่งจะส่งผลโดยตรงให้ราคาไฟฟ้าในอนาคตของประชาชนสูงกว่าความเป็นจริง อีกทั้งระเบียบหลักเกณฑ์และกระบวนการรับซื้อยังมีความผิดปกติอื่น เช่น ไม่ประกาศหลักเกณฑ์การคัดเลือกล่วงหน้า ไม่อนุญาตให้รัฐวิสาหกิจเข้าร่วม ทำให้ในรอบแรก 5,200 เมกะวัตต์ กลุ่มทุนพลังงานรายใหญ่รายเดียวได้สัมปทานไปกว่า 41%
นายวรภพ กล่าวต่อว่า ต่อมาในสมัยรัฐบาลเพื่อไทย ตนและเพื่อน สส. ได้ยกประเด็นนี้ขึ้นมาเรียกร้องทั้งในและนอกสภา เพื่อให้รัฐบาลตรวจสอบและยกเลิกการรับซื้อที่ผิดปกติดังกล่าว แต่รัฐบาลกลับละเลยต่อข้อพิรุธทุจริตนโยบายและปล่อยให้การรับซื้อไฟฟ้าในรอบแรก 5,200 เมกะวัตต์ เซ็นสัญญาไปกว่า 4,000+ เมกะวัตต์ ในขณะเดียวกัน การรับซื้อไฟฟ้ารอบเพิ่มเติมจำนวน 3,600 เมกะวัตต์ ได้มีการออกระเบียบการรับซื้อเพิ่มโดยล็อกโควตา 2,168 เมกะวัตต์ให้ผู้ผ่านเกณฑ์ที่ไม่ได้รับเลือกในรอบแรกเท่านั้น สะท้อนถึงความผิดปกติที่เอื้อต่อการทุจริต แม้นายกรัฐมนตรีในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติจะมีอำนาจในการ “ชะลอหรือยกเลิกได้” แต่ก็ปล่อยให้การรับซื้อรอบแรกดังกล่าวเซ็นสัญญาไปเกือบหมด แม้จะมีการชะลอการรับซื้อในรอบเพิ่มเติมไว้จากแรงกดดันสังคมและสื่อมวลชน แต่ปัจจุบันผ่านมา 3 เดือนแล้วยังไม่มีอะไรคืบหน้า
ด้านนายศุภโชติ กล่าวว่า ขบวนการค่าไฟแพงในครั้งนี้ ส่งผลให้ค่าไฟแพงเกินกว่าที่ควรจะเป็น กระบวนการคัดเลือกมีปัญหา ส่อทุจริต และส่งผลให้เกิดการผูกขาดในภาคพลังงาน ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเกือบ 2 ปี ตนและพรรคได้ทักท้วงการรับซื้อไฟฟ้าทั้ง 2 รอบดังกล่าวมาตลอด แต่ผลที่ได้กลับมาเป็นการเมินเฉยจากรัฐบาล แม้จะมีการชะลอการรับซื้อในรอบเพิ่มเติม 3,600 เมกะวัตต์ แต่ในรอบแรก 5,200 เมกะวัตต์ กลับปล่อยให้มีการเซ็นสัญญามาเรื่อย ๆ จนเกือบครบทั้งหมดในวันที่ 18 เม.ย.ที่ผ่านมา ทั้งที่รู้ว่าหากมีการเซ็นสัญญาแล้วจะยกเลิกสัญญาได้ยากขึ้นและเป็นภาระให้ประชาชนไปอีก 25 ปี
นายศุภโชติ ยังตอบประเด็นที่รัฐบาลออกมาชี้แจง 3 ประเด็น คือ 1.กระทรวงพลังงานชี้แจงว่า ไม่สามารถยกเลิกการทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน 5,200 เมกะวัตต์ เนื่องจากจะไม่ยุติธรรมกับเอกชนบางกลุ่ม รัฐบาลอ้างว่าจะไม่ยุติธรรมกับเอกชนหากยกเลิกสัญญา แต่ฝ่ายค้านมองว่าควรให้ความสำคัญกับประชาชนผู้ใช้ไฟ เพราะโครงการนี้มีปัญหาเรื่องความโปร่งใสและต้นทุนที่ไม่เหมาะสม อีกทั้งตามระเบียบคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานที่ประกาศรับซื้อกับเอกชน รัฐมีอำนาจตามข้อ 39 ให้นายกรัฐมนตรีสามารถสั่งยกเลิกได้หากยังไม่มีการเซ็นสัญญา เหมือนที่เคยสั่งชะลอโครงการ 3,600 เมกะวัตต์มาแล้ว
2. กระทรวงพลังงานชี้แจงว่า ราคาที่ใช้ในการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน 5,200 เมกะวัตต์ มีความเหมาะสมแล้ว พรรคประชาชนเห็นว่าราคาดังกล่าว “แพงเกินจริง” แม้จะต่ำกว่าค่าไฟขายส่งเฉลี่ย แต่ไม่สะท้อนต้นทุนที่ลดลงตามเทคโนโลยีในปัจจุบัน รัฐยังใช้ระบบกำหนดราคากลางโดยไม่เปิดประมูล ทำให้ขาดการแข่งขันและอาจเอื้อประโยชน์แก่กลุ่มทุนที่ได้รับสัมปทาน 3.กระทรวงพลังงานอ้างว่า ต้องซื้อไฟเพิ่มเพื่อสนับสนุนเป้าหมายลดคาร์บอน และตอบโจทย์อนาคตพลังงานสะอาดของประเทศ แม้การเพิ่มพลังงานสะอาดจะช่วยลดคาร์บอนได้จริง แต่พรรคประชาชนเสนอทางเลือกที่ไม่สร้างภาระให้ประชาชน เช่น “Direct PPA” ซึ่งเปิดให้ผู้ผลิตไฟฟ้าขายตรงให้กับผู้ใช้ไฟฟ้าโดยไม่ต้องบวกค่าไฟให้เป็นภาระประชาชน แต่กลับถูกจำกัดไว้เฉพาะบางกลุ่มธุรกิจ และยังไม่สามารถใช้งานได้จริง ทั้งที่ผู้ประกอบการรอคอยมากกว่า 10 เดือนแล้ว
ทั้งนี้นายศุภโชติ ยังได้เสนอแนวทางและเป้าหมายในการผลักดันประเด็นนี้ต่อ โดยยืนยันว่าจะเดินหน้าดำเนินการผ่านทุกช่องทางทางกฎหมายที่สามารถทำได้ เพื่อหยุดยั้งการรับซื้อไฟฟ้าทุกรอบที่ดำเนินการโดยไม่เป็นธรรม พร้อมทั้งขอให้ประชาชนร่วมติดตามการดำเนินการของรัฐบาลอย่างใกล้ชิด ทั้งในส่วนของรอบแรกจำนวน 5,200 เมกะวัตต์ ที่มีการเซ็นสัญญาไปแล้วเกือบครบทุกโครงการ และรอบเพิ่มเติมอีก 3,600 เมกะวัตต์ ที่ถูกสั่งชะลอไว้ตั้งแต่เดือน ธ.ค.ที่ผ่านมา ว่ารัฐบาลจะมีแนวทางจัดการอย่างไร พร้อมเสนอให้ยกเลิกการรับซื้อไฟฟ้าทั้งสองรอบโดยสิ้นเชิงและเพิ่มโควตา Direct PPA ที่ตอบโจทย์นักลงทุนและไม่เป็นภาระต่อประชาชน.