ถือเป็นช่วงโค้งสุดท้ายของการหาเสียงเลือกตั้งซ่อม สส.นครศรีธรรมราช เขต 8 แทนตำแหน่งที่ว่างลง หลัง “นางมุกดาวรรณ เลื่องสีนิล” อดีต สส.พรรคภูมิใจไทย (ภท.) ถูกศาลฎีกาเพิกถอนสิทธิสมัคร สส. จากการทำผิดกฎหมายเลือกตั้งในการหาเสียงเมื่อปี 2566 โดยกำหนดหย่อนบัตรวันที่ 27 เม.ย. 68 ซึ่งมีผู้สมัครประกอบด้วย เบอร์ 1 นายไสว เลื่องสีนิล พรรค ภท. ลงสมัครทวงเก้าอี้คืนให้ภรรยาที่โดนเพิกถอนสิทธิ เบอร์ 2 นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ อดีต สส. 9 สมัย พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ส่งประกวด เบอร์ 3 นายณัฐกิตติ์ อยู่ด้วง พรรคประชาชน (ปชน.) เบอร์ 4 ว่าที่พันตรี กวี ไกรทอง พรรคพร้อม เบอร์ 5 นายก้องเกียรติ เกตุสมบัติ อดีตสมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) นครศรีธรรมราช พรรคกล้าธรรม (กธ.) เบอร์ 6 นายพิษณุ รสมาลี พรรคทางเลือกใหม่

ต้องยอมนับว่า สนามเลือกตั้งครั้งนี้ เป็นการแข่งขันกันเองของ พรรคร่วมรัฐบาล ระหว่าง ภท. กธ. และปชป. โดยมีผู้สมัครจากพรรคฝ่ายค้าน ปชน. เป็นตัวสอดแทรก ซึ่งวันที่ 25 เม.ย. พรรคสีน้ำเงินมีคิวจะปราศรัย โดย “นายอนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย จะไปร่วมกิจกรรมครั้งนี้ด้วย ซึ่งพรรค ภท.หมายมั่นปั้นมือจะรักษาที่นั่งเดิมของตนเอง เพื่อตอกย้ำถึงกระแสความนิยมในพื้นที่ด้ามขวานทอง เพราะหลังจาก พรรค ปชป. อ่อนแรง ไม่สามารถยึดกุมพื้นที่ได้หมด พรรค ภท.ก็หวังจะเข้ามาเป็นตัวแทนในพื้นที่ โดยมี “นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ” รมว.แรงงาน เข้ามาคุมศึกเลือกตั้งครั้งนี้ ซึ่งในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ก็ช่วย กวาด สส.ในพื้นที่ภาคใต้มา 11 ที่นั่ง เลือกตั้งครั้งนี้ยังถือเป็นตัวเก็งที่จะคว้าชัยได้ เพื่อสร้างความมั่นใจและส่งผลถึงการเลือกตั้งในอีก 2 ปีข้างหน้า

ส่วนคู่แข่งสำคัญคือ ผู้สมัครจากพรรค กธ. นายก้องเกียรติ เกตุสมบัติ “บิ๊กโอ” ซึ่งเมื่อวันที่ 23 เม.ย.ที่ผ่านมา “ร.อ.ธรรมนัส” พร้อมด้วยแกนนำพรรค ไปช่วยปราศรัยหาเสียง ตอนหนึ่งระบุว่า “การเลือกตั้งปี 62 ผมมาปราศรัยใหญ่ที่นี่ ซึ่งตอนนั้นเราได้ สส.ของพรรคเก่าของผม ก็คือ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ไม่ว่าท่านสายัณห์ ยุติธรรม อ.รงค์ บุญสวยขวัญ ล้วนแต่เป็นเด็กในค่าย ที่เราส่งมาแล้ว ตอนปี 66 ผมก็มาช่วยปราศรัยเช่นเดิม ตอนนี้ก็ได้ สส.ไป แต่อยู่อีกพรรคหนึ่ง วันนี้ผมขาดมือขาดไม้ ดังนั้น เราจะมาหาเครือข่ายที่จะเป็นตัวแทนของพี่น้องชาว จ.นครศรีธรรมราช ในการที่จะนำเสนอ ร้องทุกข์ของชาวบ้าน ต่อสภาผู้แทนราษฎรหรือต่อรัฐมนตรีในกระทรวงอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ถึงแม้ว่า พรรค กธ. จะเป็นพรรคน้องใหม่ ที่เกิดขึ้นไม่นาน แต่เรามีนโยบายและสโลแกนชัดเจนว่า เรากล้าคิด กล้าทำ กล้านำเสนอในสิ่งที่เกิดประโยชน์กับพี่น้องประชาชนทั่วประเทศ

ขณะที่ ปชป. ส่ง “นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ” อดีต สส. 9 สมัย มาลงชิงเก้าอี้ หวังล้างตาจากความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งที่ผ่านมา โดยช่วงที่ผ่านมาได้ “นายชวน หลีกภัย” อดีตหัวหน้าพรรค ปชป. มาช่วยหาเสียง โดยก่อนหน้านี้ให้สัมภาษณ์ว่า ขณะนี้มีกระแสการ ซื้อเสียงหัวละ 500 บาท และหัวละ 1,000 บาท ส่งผลกระทบต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอย่างมาก เป็นเหตุผลหนึ่งที่ต้อง เดินทางลงมาช่วยเหลือ นายชินวรณ์ หาเสียงเลือกตั้งในครั้งนี้ ส่วนผลการเลือกตั้ง จะแพ้หรือชนะ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ถ้าชนะด้วยการซื้อเสียง แม้แต่เสียงละ 5 บาท ก็ไม่เอา และยอมรับไม่ได้
ส่วนแกนนำพรรคฝ่ายค้านที่ส่ง “นายณัฐกิตติ์ อยู่ด้วง” ซึ่งอาจจะหวังพรรคร่วมรัฐบาลตัดคะแนนกันเอง หรือหวัง กระแสคนรุ่นใหม่ รวมทั้งแกนนำพรรคสีส้ม ก็ระดมสมาชิกพรรคไปช่วยหาเสียงเต็มที่ ซึ่งหวังปักธง ปชน. เป็นคนแรกในพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช และ ช่วยสร้างเครดิตให้กับพรรค เพื่อนำไปขยายเรื่องความนิยมของรัฐบาลและฝ่ายค้าน คงต้องรอลุ้นอีกไม่กี่วันก็คงทราบแล้วว่า ใครจะผิดหวัง ใครจะสมหวัง แม้จะเพียง 1 ที่นั่งในสภา แต่ก็มีความหมายสำหรับพรรคการเมืองที่ส่งผู้สมัครลงแข่งขัน เพราะมีผลต่อการสร้างฐานเสียงในพื้นที่ภาคใต้ หลังจากพรรค ปชป.ที่เป็นเจ้าของพื้นที่เดิม อ่อนแรงลง

หลังจากพรรค ปชน. แกนนำพรรคฝ่ายค้าน ตีฆ้องร้องป่าว จะใช้ ยุทธวิธีโรยเกลือ เพื่อดำเนินการต่อ หลังจากเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพื่อหวังเป็นหมัดเด็ดในตรวจสอบ “น.ส.แพทองธาร ชินวัตร” โดย “นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร” สส.บัญชีรายชื่อ พรรค ปชน. ออกมาแถลงว่า จะตรวจสอบต่อใน 3 ประเด็นคือ
1. กรณีนายกฯ แพทองธาร ใช้ตั๋วสัญญาใช้เงิน หรือตั๋วพีเอ็น ที่เข้าข่ายนิติกรรมอำพราง เพื่อหลบเลี่ยงการเสียภาษี 2. กรณีโรงแรมเทมส์ วัลลีย์ เขาใหญ่ ที่อาจเข้าข่ายว่า มีการออกโฉนดโดยมิชอบ เนื่องจากเป็นพื้นที่เป็นต้นน้ำลำธาร 3. กรณีชั้น 14 รพ.ตำรวจ ซึ่ง น.ส.แพทองธาร มีส่วนทำให้ “นายทักษิณ ชินวัตร” ในฐานะบิดา ได้รับอภิสิทธิ์ เหนือผู้ต้องขังรายอื่น และเมื่อมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ข้อสงสัยเรื่องป่วยทิพย์ ก็ไม่ได้มีการสั่งการให้มีการสอบสวนข้อเท็จจริง
โดยทั้ง 3 เรื่องจะมอบหมายให้ “นายรังสิมันต์ โรม” รองหัวหน้าพรรค ปชน. ไปร้องต่อ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อให้ดำเนินการไต่สวนและชี้มูลความผิดต่อนายกฯ ตามกฎหมายต่อไป

“นายวิโรจน์” ยืนยันว่า จะไม่ยื่นถอดถอนนายกฯ ตาม กลไกรัฐธรรมนูญ (รธน.) 60 ในประเด็นเรื่องจริยธรรม โดยระบุว่า หากถูกสังคมและประชาชนตั้งคำถามถึงความ มีจริยธรรมอย่างต่อเนื่อง และไม่อาจชี้แจงข้อเท็จจริงได้จนสิ้นข้อสงสัย นายกฯ ควรต้องมีหิริโอตตัปปะ มีความสำนึกในตัวเอง พิจารณาความเหมาะสมของตัวเอง และแสดงความรับผิดชอบต่อสาธารณะด้วยการลาออกโดยสมัครใจ ไม่จำเป็นต้องให้บุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือกลุ่มบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ซึ่งเป็นมรดกบาป ของการทำรัฐประหาร ขาดความชอบธรรมทางประชาธิปไตย และไม่มีการยึดโยง ต่อเจตจำนงของประชาชน มาเป็นผู้ชี้นิ้วไล่ให้ออกจากตำแหน่ง เพราะจะเป็นการทำลายเกียรติภูมิ ของตำแหน่งนายกฯ ในระบอบประชาธิปไตยอย่างไม่อาจประเมินค่าได้ การใช้ผ้าที่สกปรกถูบ้าน ไม่อาจทำให้บ้านสะอาดขึ้นมาได้ การนำน้ำเน่าไล่น้ำเสีย ไม่อาจทำให้น้ำในคูคลองใสสะอาด
“พรรคปชน. ยืนยันว่า เราจะไม่ใช้กลไกที่เรา ไม่ยอมรับความชอบธรรม ในการจัดการกับสิ่งที่ไม่ชอบธรรมอย่างเด็ดขาด เพราะหากเราทำเช่นนั้น บ้านเมืองก็จะติดอยู่ใน วังวนนิติสงคราม ที่คณะรัฐประหารได้วางหลุมพรางเอาไว้ และประเทศชาติจะไม่สามารถกลับคืนสู่ความเป็นนิติรัฐ ได้อีกเลย” นายวิโรจน์ กล่าว
อย่างไรก็ตามมีการไปตรวจสอบเหตุการณ์ในอดีต พบว่า พรรค ปชน. ซึ่งมีที่มาจากพรรคก้าวไกล (ก.ก.) และ อนาคตใหม่ (อนค.) เคยใช้ กลไกตาม รธน.60 ตรวจสอบฝ่ายบริหารในอดีต ช่วงที่พรรค ก.ก. เป็นฝ่ายค้านร่วมกับพรรคเพื่อไทย (พท.) ได้ลงชื่อส่งศาล รธน. เพื่อวินิจฉัยให้ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” พ้นจากตำแหน่งนายกฯ ถึง 3 ครั้ง จากคดีขาดคุณสมบัติเนื่องจากเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ รวมทั้งคดีพักบ้านหลวง และคดี พล.อ.ประยุทธ์ ดำรงตำแหน่งนายกฯ ครบ 8 ปี รวมทั้งกรณียื่นศาล รธน.วินิจฉัยให้ “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” พ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรี และกรณีขอให้วินิจฉัยให้ “นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ” พ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรี เลยมีคำถามว่า “ยุทธวิธีโรยเกลือ” เป็นแค่อีเวนต์ทางการเมือง ไม่ต้องการตรวจสอบอย่างจริงจัง เพราะการไปยื่นเรื่องให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบ ต้องใช้เวลาตรวจสอบ นานพอสมควร

ด้าน “นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม” ประธานพรรคไทยภักดี (ทภ.) โพสต์เฟซบุ๊กเรื่อง “พรรคประชาชนกลืนน้ำลายตัวเองหรือไม่” ระบุว่า หลังจากที่พรรค ปชน.ในฐานะฝ่ายค้าน อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ประชาชนได้เฝ้าติดตามวาทกรรมที่ ฝ่ายค้านตั้งขึ้นมา นั่นคือยุทธการโรยเกลือ ว่า สิ่งที่คุณต้องตอบคำถามประชาชน ทำไมคดี พล.อ.ประยุทธ์ คุณเชื่อมั่นศาล รธน. แต่คดีของอิ๊งค์ ที่มีความชัดเจนมาก ตามที่พวกคุณอภิปรายให้ข้อมูล แต่พวกคุณไม่ยื่น เพราะมองเปรียบศาล รธน.เป็นผ้าสกปรก ใครเคยทำอะไรไว้ คิดให้ดี อย่าทำคิดว่าเอาเท่ สุดท้าย มันก็คือลิเกหลงโรงดีๆ นี่เอง ประชาชนฝากตั้งคำถามว่า กลืนน้ำลายตัวเอง อร่อยไหม หรือ รอเสียบเพื่อร่วมรัฐบาล

ส่วนความเคลื่อนไหวในการ ปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ด้าน “นายภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ให้ความเห็นถึงกระแสข่าวการปรับ ครม. โดยมีชื่อนายภูมิธรรม กลับไปเป็น รมว.พาณิชย์ ว่า ยังไม่เคยได้ยินเสียงจากนายกฯ เลยว่าจะปรับ ซึ่งสถานการณ์จะปรับหรือไม่ปรับ มีปัจจัยหลายอย่าง และคนที่จดปากกาเซ็นคือ นายกฯ สิ่งเหล่านี้ถ้าอยากจะรู้ทิศทางให้ท่านดูคำตอบจากนายกฯ ซึ่งหลังการประชุม ครม. เมื่อวันที่ 22 เม.ย.ที่ผ่านมา ท่านก็ตอบชัดเจนว่ายังไม่คิด เพราะนายกฯ เป็นคนที่พูดตรงไปตรงมา ใครพูดก็ไม่สำคัญเท่านายกฯ เมื่อท่านบอกไม่คิดจะปรับ คนอื่นก็ปรับไม่ได้ การมีข่าวหรือไม่มีข่าว ตนไม่รู้แต่อาจเกิดขึ้นได้หลายสาเหตุ เกิดขึ้นจากคนที่มีวัตถุประสงค์ต้องการอะไรก็ได้
“ผมยังไม่เคยได้ยิน มาจากพาณิชย์ แล้วไปกลาโหม แล้วกลับไปพาณิชย์ ได้ฟังก็ยังงงๆ แต่ว่าผมพร้อม จะให้ผมไปทำอะไรที่ไหน และผมมาที่กลาโหม ผมก็รักกลาโหม ก็ทำงานดีได้รับการสนับสนุนที่ดี” นายภูมิธรรม กล่าว

ด้าน “นายสุทิน คลังแสง” สส.บัญชีรายชื่อ พรรค พท. และอดีต รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์กระแสข่าวที่มีชื่อกลับมานั่งตำแหน่งรมว.กลาโหม โดยหัวเราะ พร้อมกล่าวว่า เป็นเพียงการคาดการณ์ แต่ในพรรค พท.ยังไม่มีการส่งสัญญาณใดๆ เมื่อถามว่าพร้อมหรือไม่หาก ได้กลับมานั่งตำแหน่งเดิม และสานต่อนโยบาย โดยเฉพาะเรื่องการจัดซื้อเรือดำน้ำ นายสุทิน กล่าวว่า ก็พร้อมทำตามนโยบาย แต่ขอให้รอความชัดเจนจากพรรคและนายกฯ ขณะนี้ยังไม่มีการส่งสัญญาณ
น่าสนใจคือ คำพูดของ “นายภูมิธรรม” เรื่องปรับ ครม. เกิดขึ้นจากคนที่มีวัตถุประสงค์ ต้องการอะไร ก็ได้ นั่นหมายความว่า อาจมีความพยายามต้องการ ให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ในฝ่ายบริหาร โดยมีเป้าหมายเพื่อหวังมีตำแหน่งทางการเมือง
ทีมข่าวการเมือง