เป็นไปตามคำทำนายของหมอดูการเมืองหลายสำนักที่ก่อนหน้านี้ออกมาฟันธงว่า ช่วงกลางปี 68 การเมืองไทยจะเข้าสู่จุดเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญและล่าสุดเรื่อง ชั้น 14 ก็กลายเป็นปมร้อนทันที ภายหลังจากที่  ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งตำแหน่งทางการเมือง เดินไต่หน้าสวนปม “นายทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ไปพำนักชั้น 14 รพ.ตำรวจ หลังนัดฟังคำสั่งในคดีที่จากกรณีนายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ขอให้ไต่สวนกรณีกรมราชทัณฑ์อนุญาตให้นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่ถูกตัดสินจำคุก 8 ปี แต่ได้พระราชทานอภัยลดโทษเหลือ 1 ปี  ได้เข้ารับการรักษาตัวที่ รพ.ตำรวจ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากศาล ทั้งนี้ ศาลมีคำสั่ง ยกร้อง เนื่องจากไม่ใช่ผู้เสียหายโดยตรง แต่ศาลจะแสวงหาข้อเท็จจริงเอง

พร้อมทั้งสั่งให้ “ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ  – อธิบดีกรมราชทัณฑ์ – นายแพทย์ใหญ่ รพ.ตำรวจ”  ชี้แจงแสดงหลักฐานที่เกี่ยวข้องภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ ได้รับทราบคำสั่งศาล ทั้งนี้ศาลมีคำสั่งให้นัดพร้อมหรือ นัดไต่สวนในวันที่ 13 มิ.ย.68 เวลา 09.30 น.ต่อไป

เท่ากับว่า “นายใหญ่จันทร์ส่องหล้า”  ทักษิณ  อดีตนายกรัฐมนตรี ต้องเดินหน้าขึ้นศาลอีกครั้ง จากเดิมที่มี คดี112 ติดชนักอยู่ จากกรณีที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญายื่นฟ้องนายทักษิณ เป็นจำเลยในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงในราชอาณาจักร จากกรณีให้สัมภาษณ์มีเนื้อหาพาดพิงสถาบัน กับสำนักข่าวแห่งหนึ่ง ที่กรุงโซล เกาหลีใต้ เมื่อปี 2558

ซึ่งคดีล่าสุดนี้ถือว่ามีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะเกี่ยวข้องกับ “เสรีภาพอันหอมหวาน”ที่เพิ่งได้รับมา และต้องจับตาดูว่า “ทีมกฎหมายของทักษิณ” จะแก้เกมนี้อย่างไร และจะยกข้อต่อสู้อย่างไรเพื่อให้ศาลเห็นว่า การพักรักษาตัวนอกโรงพยาบาลเรือนจำเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย  เพราะงานนี้ โอกาสที่ “ทักษิณ”จะ “รอด” หรือ “ร่วง”  ขึ้นอยู่กับข้อมูลที่เตรียมไปของโรงพยาบาลตำรวจและกรมราชทัณฑ์ ที่จะทำให้ศาลฎีกาฯ เห็นและเชื่อได้อย่างไรว่า “ทักษิณ” นั้นป่วยเข้าขั้นวิกฤตจริงๆ

อันเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้ “ทักษิณ” ได้รับสิทธิในการมารักษาตัวที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ 

ขณะที่ทาง โรงพยาบาลตำรวจและกรมราชทัณฑ์ ก็คงต้องทำงานละเอียดพอสมควร เพราะนอกจากจะมีอิสรภาพของ “นายใหญ่” เป็นเดิมพันแล้ว ผลของคดีนี้อาจเหวี่ยงไปถึงคดีละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ที่อยู่ในมือ ป.ป.ช.ด้วย

เพราะตอนนี้ “คณะไต่สวน” ของ ป.ป.ช. ก็ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาข้อกล่าวหา “นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ และพล.ต.ท.โท ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ นายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง กรณีส่งตัวผู้ต้องขังรายนายทักษิณ ชินวัตร จากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครไปรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจโดยมิชอบ และให้นายทักษิณ ชินวัตร อยู่รักษาที่โรงพยาบาลตำรวจจนกระทั่งครบ 180 วัน ทั้งที่ไม่ได้เจ็บป่วยจริง เพื่อเอื้อประโยชน์ให้นายทักษิณ ชินวัตร ไม่ต้องถูกคุมขังในเรือนจำ”

โดยขณะนี้ คณะไต่สวน ป.ป.ช. ยังอยู่ในระหว่างการไต่สวนพยานบุคคล และรวบรวมพยานหลักฐาน และรายงานความคืบหน้าของคดีให้ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. รับทราบทุกเดือน เช่นกัน

แต่เหนืออื่นใด ก็อย่าลืมว่าศาลที่พิจารณาคดีนี้ คือ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งมีกฎหมายพิเศษสำหรับพิจารณาคดีเป็นการเฉพาะอย่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.)ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2560ซึ่งแตกต่างจากศาลยุติธรรมทั่วๆไป โดยเป็นการเปิดโอกาสให้ศาลฎีกาเองทำงานเชิงรุกมากขึ้นภายใต้ระบบไต่สวนที่ไม่ถูกจำกัดเฉพาะข้อมูลและข้อเท็จจริงจากฝ่ายโจทก์และจำเลยเท่านั้น

 งานนี้จึงเป็นศึกหนักยิ่งกว่าคดี 112 เพราะคดี 112 ยังมีโอกาสสู้กันถึง 3 ชั้นศาล แต่คดีชั้น 14 ทุกอย่างมารับจบกันที่ศาลฎีกาฯ เพียงศาลเดียว เรียกได้ว่าเป็น “ทางสองแพร่ง” ระหว่าง “เรือนจำ” กับ “บ้าน”

 ดังนั้นจึงอย่าได้แปลกใจว่าทำไมภาษากายของ “แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรีในฐานะบุตรสาวคนเล็ก ถึงดูไม่ค่อยดีนัก.