เมื่อวันที่ 5 พ.ค. นายภราดร ปริศนานันทกุล รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 ให้สัมภาษณ์ชี้แจงผ่านรายการเจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand กรณีสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ทำคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ในส่วนของสภา เพื่อปรับปรุงอาคาร และสถานที่ภายในสภา เป็นงบฯ จำนวนใกล้หลักพันล้านว่า เมื่อปี 2567 ทางสภาเพิ่งจะรับมอบการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ยังมีบางส่วนที่ยังไม่มีตามแบบแปลนเดิม จึงต้องไปดำเนินการเพิ่มเติมในส่วนที่ยังไม่มี และเป็นส่วนที่สภาต้องใช้ประโยชน์ ดังนั้นถือว่าจำเป็นที่จะต้องดำเนินการบางส่วน ซึ่งนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภา คนที่ 1 เคยให้สัมภาษณ์ไว้เมื่อช่วงเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา มีดำริต้องการให้สภาเป็นสภาของประชาชน พื้นที่สภาทุกส่วนประชาชนต้องสามารถเข้ามาใช้ประโยชน์ได้เต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นสวนสาธารณะ ห้องสมุด พิพิธภัณฑ์ หรือเครื่องยอดชั้น 11 ของรัฐสภาที่เมื่อก่อนไม่ได้เปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้ารับชมภายใน เพราะสภาใช้ภาษีจากประชาชน ต้องทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงได้ทั้งอาคารสถานที่ รวมถึงข้อมูลข่าวสารต่างๆ จึงเป็นที่มาของโครงการต่างๆ ของสภา

นายภราดร กล่าวต่อว่า ในส่วนของรายละเอียดโครงการปรับปรุงรีโนเวทอาคารสถานที่ของสภา ในฝั่งที่เป็นดำริของนายพิเชษฐ์ อาทิ การถมสระมรกตในสภา ใช้งบประมาณ 150 ล้านบาท ยังเป็นเพียงแนวคิดของนายพิเชษฐ์ ยังไม่ได้มีการจัดทำคำของบฯ ปี 69 แต่มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มพื้นที่สาธารณประโยชน์ประมาณ 1,000-2,000 ตร.ม. เพราะพื้นที่สระมรกตที่เป็นน้ำ ควรนำมาใช้ประโยชน์ได้ ไม่ใช่นำมาโชว์ประดับเฉยๆ จึงต้องเอาน้ำออก แล้วนำอาคารเบาไปใส่เพื่อทำห้องสมุด จากเดิมห้องสมุดอยู่ชั้น 9 ก็จะย้ายลงมายังบริเวณดังกล่าวให้ประชาชนเข้าถึงได้ง่ายโดยจะเป็นลักษณะห้องสมุด Co-Working Space ทั้งนี้อยู่ระหว่างการประสานกรมโยธาธิการและผังเมือง เพื่อตรวจสอบว่าแบบจะสามารถรองรับอาคารเบาได้หรือไม่ เพราะแปลนเดิมไม่ได้เตรียมไว้เพื่อรองรับสิ่งเหล่านี้ นอกจากนี้ยังมีแนวคิดเพิ่มพื้นที่ลานจอดรถที่จะดำเนินการในอนาคต รวมถึงบางโครงการที่ได้ดำเนินการไปแล้วก่อนปิดสมัยประชุมสภาที่ผ่านมา อาทิ ขยายห้องตอบกระทู้แยกเฉพาะ เปิดร้านกาแฟ ร้านสะดวกซื้อ และที่อยู่ระหว่างดำเนินการ คือการปรับปรุงห้องร้องทุกข์ของประชาชนบริเวณหน้าอาคารรัฐสภาที่นายพิเชษฐ์ เคยนำระฆังร้องทุกข์มาตั้งไว้จนเป็นข่าวเมื่อช่วงปีที่แล้ว

รองประธานสภา คนที่ 2 กล่าวอีกว่า ขณะที่การจัดทำคำของบฯ ปี 69 ในฟากของสำนักงานเลขาธิการสภา เพื่อปรับปรุงรีโนเวทอาคารสถานที่ภายในสภา จำนวน 7 โครงการ งบประมาณรวมทั้งสิ้น 875 ล้านบาท ที่ทางว่าที่ ร.ต.ต.อาพัทธ์ สุขะนันท์ เลขาธิการสภา ชี้แจงไปเมื่อวันที่ 4 พ.ค.ที่ผ่านมา ตนได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบ 3 สำนักงานภายในที่เกี่ยวข้องกับ 2 โครงการจาก 7 โครงการดังกล่าว ได้แก่ 1.โครงการปรับปรุงพิพิธภัณฑ์รัฐสภา งบฯ จำนวน 120 ล้านบาท แบ่งเป็นงบฯ ผูกผัน 2 ปี คือปี 69 จำนวน 40 ล้านบาท และส่วนที่เหลือในปี 70 แต่ยังไม่มีรายละเอียดในโครงการเลย จึงต้องจัดทำคำของบฯ วัตถุประสงค์ต้องการให้ทราบความเป็นมาของรัฐสภา ตั้งแต่อดีตปัจจุบัน และมองไปยังอนาคต  และ 2.โครงการปรับปรุงระบบเสียงห้องประชุม จำนวน 1,500 ที่นั่ง งบฯ จำนวน 99 ล้านบาท ตามแบบแปลนเดิม ระบบเสียง-ภาพไม่มี เป็นห้องโล่งว่างเปล่า จึงจะปรับให้เป็นห้องสัมมนาขนาดใหญ่จุคนได้ 1,500  ที่นั่ง โดยไม่ต้องไปเช่าโรงแรมเพื่อจัดสัมมนา ทั้งนี้ ก่อนที่ตนจะมารับตำแหน่งรองประธานสภา โครงการดังกล่าวมีการตั้งงบฯ เอาไว้ก่อนแล้ว และมีจำนวนงบฯ ที่สูงกว่านี้ พอตนมาเข้ารับตำแหน่ง จึงขอดูแบบ และปรับลดงบฯ ลงมาเท่าที่จำเป็น 

เมื่อถามว่า โครงการปรับปรุงห้องสารนิเทศ งบฯ จำนวน 180 ล้านบาท ที่ทราบมาว่าจะทำเป็นห้องสำหรับนำเสนอประวัติความเป็นมาของรัฐสภา ให้กับผู้เข้าเยี่ยมชมกิจการสภา จะซ้ำซ้อนกับโครงการปรับปรุงพิพิธภัณฑ์รัฐสภา งบฯ จำนวน 120 ล้านบาท หรือไม่ รองประธานสภา คนที่ 2 กล่าวว่า ตนไม่ได้รับผิดชอบโครงการปรับปรุงห้องสารนิเทศ จึงไม่ทราบรายละเอียด แต่เท่าที่ฟังมาน่าจะทำเป็นห้องที่เปิดให้ผู้มาเข้าเยี่ยมชมรับฟังบรรยาย และอาจจะมีภาพ 4 มิติ ประกอบการบรรยาย ขณะที่โครงการปรับปรุงพิพิธภัณฑ์ฯ จะต้องใช้พื้นที่จำนวนมากถึง 5,000-6,000 ตารางเมตร และแบ่งโซนเพื่อบอกเล่าเนื้อหาสาระประวัติศาสตร์ของรัฐสภาไทย

เมื่อถามถึงงบฯ ปรับปรุงศาลาแก้วในรัฐสภา จำนวน 123 ล้านบาท แบบแปลนแรกเริ่มจะให้ใช้ประโยชน์อะไร รองประธานสภา คนที่ 2 กล่าวว่า ถ้าให้ตนจินตนาการ จะเหมือนเรือนไทย หากตัวรัฐสภาเป็นเหมือนเรือนไทย ตัวศาลาแก้วก็เหมือนเป็นมุขหน้าบ้าน ผู้ออกแบบคงจะออกแบบมาแบบนั้น แต่ในทางปฏิบัติแล้ว ยอมรับว่าศาลาแก้วไม่ค่อยได้ถูกนำไปใช้งาน เพราะภายในศาลาแก้วมีอากาศร้อนมาก จนวันที่เกิดแผ่นดินไหว 28 มี.ค.ที่ผ่านมา มีการอพยพลงไปด้านล่าง ตนจึงได้ไปอยู่ที่บริเวณศาลาแก้ว และรู้ว่าอยู่ไม่ได้ เพราะอากาศร้อนมาก ทางสำนักงานเลขาฯ สภาจึงต้องการปรับปรุง โดยจะเป็นการติดแอร์เพิ่มหรือไม่ ตนยังไม่ทราบ

เมื่อถามว่าโครงการปรับปรุงต่างๆ ของสภาคุ้มค่าหรือไม่ นายภราดร กล่าวว่า ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการจัดทำคำขอเพื่อตั้งงบฯ ปี 69 ตนเชื่อว่าหากสังคมวิพากษ์วิจารณ์ หรือแสดงมุมมองต่างๆ ออกไป มันจะเข้าสู่การพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ ปี 69 ในสภา ช่วงปลายเดือน พ.ค.นี้ ทาง สส. เมื่อได้รับฟังคำวิจารณ์ดังกล่าวแล้ว เขามีอำนาจตัดลดงบฯ ในชั้นกมธ.วิสามัญฯ ก็คงจะต้องไปพูดคุยในกมธ.ต่อไปว่า ส่วนไหนมีความสำคัญมากน้อยเพียงใด มันยังไม่สิ้นสุด.