สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงอิสลามาบัด ประเทศปากีสถาน เมื่อวันที่ 5 พ.ค. ว่า กองทัพปากีสถานออกแถลงการณ์ เกี่ยวกับความสำเร็จของการทดสอบขีปนาวุธนำวิถี “ฟาตาห์” ซึ่งมีพิสัยทำการประมาณ 120 กิโลเมตร ซึ่งการดำเนินการดังกล่าว เกิดขึ้นหลังการทดสอบขีปนาวุธนำวิถี “อับดาลี” ซึ่งมีพิสัยทำการประมาณ 450 กิโลเมตร เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา
ขณะที่นายกรัฐมนตรีเชห์บาซ ชารีฟ ผู้นำปากีสถาน แสดงความชื่นชม “ความพร้อมขั้นสูงสุดของกองทัพ ในการปกป้องความมั่นคงของชาติ” และความสำเร็จของการทดสอบขีปนาวุธครั้งนี้ เป็นการตอกย้ำ “ความแข็งแกร่งด้านศักยภาพการป้องกันประเทศของปากีสถาน”
Pakistan today conducted a successful training launch of a FATAH Series surface-to-surface missile with a range of 120 kilometers as part of ongoing Ex INDUS.
— Government of Pakistan (@GovtofPakistan) May 5, 2025
The launch was aimed at ensuring the operational readiness of troops and validating key technical parameters, including… pic.twitter.com/OUW0x3WzPy
ด้านอินเดียยังไม่มีความเห็นอย่างเป็นทางการ ต่อการทดสอบขีปนาวุธทั้งสองครั้งของปากีสถาน ซึ่งเกิดขึ้นท่ามกลางกระแสข่าว ว่านายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ผู้นำอินเดีย เรียกประชุมฉุกเฉินทหารระดับสูงในกองทัพ และหน่วยงานด้านความมั่นคงอีกหลายแห่ง เพื่อ “มอบอำนาจอย่างอิสระ” ให้แก่กองทัพ ในการตอบโต้การโจมตีทางทหารของปากีสถาน
Pakistan conducted a successful training launch of the Abdali Weapon System, a surface-to-surface missile with a range of 450 kilometers, as part of Ex INDUS.
— Government of Pakistan (@GovtofPakistan) May 3, 2025
The launch was aimed at ensuring the operational readiness of troops and validating key technical parameters, including… pic.twitter.com/1CHHy9djhn
ทั้งนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างอินเดียกับปากีสถานตึงเครียดครั้งใหม่ หลังเกิดเหตุกลุ่มติดอาวุธกราดยิงกลุ่มนักท่องเที่ยว ที่เมืองพาฮาลแกม ในรัฐชัมมูและกัศมีร์ หรือภูมิภาคแคชเมียร์ภายใต้อธิปไตยของอินเดีย เมื่อวันที่ 22 เม.ย. ที่ผ่านมา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 26 ราย และจนถึงตอนนี้ยังไม่มีบุคคลหรือกลุ่มใดออกมาแสดงตัวว่าเกี่ยวข้อง
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลอินเดียกล่าวว่า เป็นฝีมือของกลุ่มลาชการ์-อี-ไทบา ซึ่งมีฐานที่มั่นอยู่ในปากีสถาน และเป็นองค์กรก่อการร้ายในบัญชีดำของสหประชาชาติ (ยูเอ็น) แต่รัฐบาลปากีสถานยืนกรานปฏิเสธ และเรียกร้องการสอบสวนระดับนานาชาติ.
เครดิตภาพ : AFP