เมื่อวันที่ 6 พ.ค. ที่กระทรวงแรงงาน นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.แรงงาน เป็นประธานในพิธีรับมอบผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เพื่อนำไปใช้ในการพัฒนาฝีมือแรงงาน ระหว่างกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน บริษัท เอสซีจี เซรามิกส์ จำกัด (มหาชน) บริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) และบริษัท แซง-โกแบ๊ง เวเบอร์ จำกัด
นายพิพัฒน์ กล่าวว่า พิธีในวันนี้ไม่ใช่เพียงแค่การรับมอบวัสดุอุปกรณ์ แต่คือการรับมอบโอกาสและความเชื่อมั่น ที่ภาคเอกชนมีต่อระบบการพัฒนาฝีมือแรงงานของประเทศไทย ภายใต้วิสัยทัศน์ของรัฐบาลที่มุ่งพัฒนาทุนมนุษย์อย่างทั่วถึง โดยกระทรวงแรงงานให้ความสำคัญกับการเสริมทักษะให้แรงงานสอดคล้องกับความต้องการของตลาด โดยเฉพาะในภาคก่อสร้าง ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ แต่ยังคงขาดแคลนแรงงานฝีมือจำนวนมาก ซึ่งการร่วมมือกับบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญด้านวัสดุก่อสร้าง จะช่วยให้การฝึกอบรมของกรมพัฒนาฝีมือแรงงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยฝึกกับวัสดุจริงในสภาพแวดล้อมจริง ตอบโจทย์สถานประกอบการ และสร้างแรงงานคุณภาพให้ตลาด
ในโอกาสนี้ กระทรวงแรงงานได้รับมอบผลิตภัณฑ์กระเบื้องเซรามิก จำนวน 2,231 ตารางเมตร มูลค่า 511,000 บาท จากนายกฤษณ์ จั่นทอง ผู้จัดการ Technical Service บริษัท เอสซีจี เซรามิกส์ จำกัด (มหาชน), ผลิตภัณฑ์ปูนซีเมนต์ จำนวน 105 ตัน มูลค่า 210,000 บาท จาก นายมนตรี นิธิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารธุรกิจปูนซีเมนต์ของประเทศไทย บริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) และผลิตภัณฑ์ปูนกาวและปูนยาแนวกระเบื้อง มูลค่า 77,000 บาท จากนายพชร มหาบูรพา ผู้อำนวยการแซงโกแข็งประเทศไทย บริษัท แซง-โกแบ๊ง เวเบอร์ จำกัด เพื่อใช้ในหลักสูตรอบรมด้านงานก่อสร้างใน 20 จังหวัด อาทิ ช่างปูกระเบื้อง ช่างก่ออิฐ ช่างฉาบปูน และช่างโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็ก โดยเน้นการฝึกจริงในสถานที่สาธารณะ เช่น โรงเรียน ศูนย์เรียนรู้ และวัดชุมชน

นายเดชา พฤกษ์พัฒนรักษ์ อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กล่าวว่า ความร่วมมือกับทั้ง 3 บริษัทเอกชนนี้ ดำเนินมากว่า 20 ปี และช่วยผลิตแรงงานก่อสร้างคุณภาพกว่า 30,000 คน ซึ่งปีนี้เราตั้งเป้าฝึกเพิ่มอีก 1,000 คน โดยใช้วัสดุจากการสนับสนุนในครั้งนี้ เพื่อให้การฝึกอบรมมีคุณภาพและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อแรงงานไทย โดยตลาดแรงงานทั้งในประเทศและต่างประเทศ มีความต้องการช่างฝีมืออย่างมาก ที่ต้องการช่างฝีมือที่มีความสามารถ และวัสดุที่มีคุณภาพ การแข่งขันฝีมือแรงงานจะก่อให้เกิดการพัฒนาฝีมือแรงงาน โดยต้องอาศัยวัสดุที่ดี ครูฝึกที่ดี และที่สำคัญคือความตั้งใจเต็มที่ จนเกิดผลงานที่ดีมีคุณภาพ การที่เราได้รับวัสดุที่ดีจะส่งผลต่อฝีมือแรงงาน สามารถทำงานได้จริง
“ขอให้ความร่วมมือนี้ เป็นจุดเริ่มต้นของการเชื่อมโยงองค์ความรู้ เทคโนโลยี และโอกาสระหว่างภาคเอกชนกับภาครัฐอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างระบบพัฒนาฝีมือแรงงานของไทยที่มีคุณภาพ ทันสมัย และขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยได้อย่างมั่นคง” นายเดชา กล่าว
นายเดชา กล่าวต่อว่า สำหรับผู้ที่สมัครเข้าอบรม ต้องมีอายุ 18 ปีขึ้นไป ที่มีความประสงค์ฝึกเป็นช่างก่อสร้าง สามารถลงทะเบียนติดต่อได้ที่สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน หรือสำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงาน ของกรมพัฒนาฝีมือแรงงานแต่ละจังหวัด หรือสามารถลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ https://www.dsd.go.th/

ด้าน นายมนตรี กล่าวว่า เราเห็นความสำคัญของบุคลากร โดยเฉพาะนักศึกษาอาชีวะ ทางผู้ผลิตมุ่งมั่นที่จะผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ดังนั้นจึงต้องเสริมความสามารถและความเข้าใจของช่างฝีมือเข้าไปด้วย การร่วมโครงการในครั้งนี้ถือเป็นนิมิตหมายที่ดี เพราะสร้างความมั่นใจว่าทางผู้ผลิตจะส่งเสริมแรงงานต่อไปอนาคต การนำช่างฝีมือไปดูงานการผลิตผลิตภัณฑ์นั้นจะพัฒนาผู้ใช้แรงงานให้เข้าใจผลิตภัณฑ์จนสามารถใช้ประโยชน์ได้จริง จนสามารถพัฒนาสังคม และประเทศชาติได้.