ในยุควิคตอเรียน เมื่อเกือบ 150 ปีที่แล้ว Nathaniel T. Whiting ชาวอเมริกันได้จดลิขสิทธิ์ เครื่องดักไขมัน เครื่องแรกในปี 1884 โดยมีหลักการที่ว่า ถ้าเราสร้างภาชนะเก็บน้ำเสียจากครัวที่มีไขมันจำนวนมาก ชะลอการปล่อยสู่ท่อระบายน้ำสาธารณะ โดยไขมันจะมีน้ำหนักเบากว่าน้ำ 15-20% เมื่อเก็บไว้สักพักจะเกิดการแยกตัวกับน้ำ และมีช่องระบายน้ำที่ไม่มีไขมันออกสู่ท่อระบายน้ำสาธารณะ สักพัก
ไขมันที่กักอยู่ในบ่อดักจะเกาะตัวกันเป็นก้อน แล้วเราสามารถช้อนออกไปทิ้งได้

นวัตกรรมที่มาจากหลักการของคุณ Whiting นี้ถูกพัฒนาต่อมาเรื่อย ๆ ตลอด 150 ปี ทำให้ขนาดเล็กลงเพื่อสามารถติดตั้งในครัวเรือนได้ง่าย บำรุงรักษาสะดวก หรือเป็นขนาดใหญ่ที่มีคุณภาพสูงในร้านอาหารขนาดใหญ่ โรงแรม คอนโด ตลาด ชุมชน หรือโรงงาน ในหลายประเทศกลายเป็นอุปกรณ์มาตรฐานของที่พักอาศัย ซึ่งมีกฎหมายบังคับ

เรามีข้อบัญญัติของ กทม. และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้ร้านอาหาร ภัตตาคาร และศูนย์อาหารต้องติดตั้งเครื่องดักไขมันตั้งแต่ปี 2565 ใครไม่ทำตามมีบทลงโทษ จำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 50,000 บาท แต่ในบ้านพักอาศัยอาจจะยังไม่ได้บังคับใช้ หลายบ้านจึงมีปัญหาท่อน้ำตันบ่อย ๆ หรือบ้านเรือนส่วนใหญ่ที่ปล่อยน้ำทิ้งสู่ท่อระบายน้ำสาธารณะจะทำให้ท่อระบายน้ำตัน หรือ
ถ้าปล่อยลงคูคลองจะก่อให้เกิดมลภาวะทางน้ำ

ถ้าเราช่วยกันดักไขมันจากบ้าน จะไม่ทำร้ายสิ่งแวดล้อม และตอนนี้นวัตกรทั่วโลกกำลังช่วยกันคิดค้นการนำไขมัน ที่ดักไว้มาใช้งานใหม่ แบบ Circular Economy เปลี่ยน Waste ให้เป็น Value โดยนำไปทำเป็นไบโอดีเซล เป็นส่วนประกอบสบู่ เครื่องสำอาง หรือสามารถไปถึงส่วนประกอบของน้ำมันเครื่องบินได้ นวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อความยั่งยืนกำลังมา

ตอนนี้เมื่อคนส่วนใหญ่ยังไม่ให้ความสำคัญกับการแยกไขมัน ก็เตรียมตัวลอกท่อระบายน้ำให้พร้อมในช่วงหน้าฝนที่คาดว่าจะมี Rain Bomb รุนแรง มิฉะนั้นเราจะเจอน้ำท่วมรอระบายครั้งใหญ่ ลำบากท่านผู้ว่าฯ มายืนตากฝนอีก.