จากกรณีที่ดีเอสไอ ร่วมกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) สอบสวนกรณีความผิดฐานฟอกเงินของบุคคลหรือคณะบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการได้มาซึ่ง สว. ดีเอสไอได้เริ่มดำเนินการสอบสวนรวมเป็นเวลาเกือบ 2 เดือน พบความสัมพันธ์ข้องเกี่ยวของกลุ่มคณะบุคคล พบเส้นทางการเงินที่สะพัดไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท ตั้งแต่การเลือก สว. ระดับอำเภอ ระดับจังหวัด และระดับประเทศ การกาคะแนน การนับผลคะแนนที่มีการเลือกหมายเลขเดียวกัน ซ้ำ ๆ กันหลายชุด
เมื่อได้นำข้อมูลไปวิเคราะห์แล้ว พบการกระทำที่เข้าข่ายมีกระบวนการหรือพฤติการณ์ที่ไม่ได้เป็นไปด้วยสุจริตหรือเที่ยงธรรม มีความผิดตาม พ.ร.ป.การได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 จึงส่งหลักฐานและข้อมูลทั้งหมดให้สำนักงาน กกต. พิจารณา ล่าสุดมีรายงานข่าวอ้างว่า ว่าบรรดา 138 สว.ที่เข้าข่ายมีปัญหา พูดกันว่า “มีการเคลียร์กันแล้ว ข้างบนเคลียร์กันแล้ว” หลังรู้ตัวว่าภายใน 1-2 สัปดาห์นี้จะถูกเจ้าหน้าที่ กกต. เรียกมาแจ้งข้อกล่าวหา
มีรายงานข่าวว่า ในวันที่ 8 พ.ค. กกต. จะทยอยเรียกแจ้งข้อกล่าวหาบรรดา สว. ลอตแรกจำนวน 60 ราย ส่วนใหญ่ล้วนเป็น สว.คนดัง ตามความผิดกฎหมายเลือกตั้ง พ.ร.ป.การได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 ซึ่งรายชื่อลอตแรก คาดว่า เป็นประธานวุฒิสภา รองประธานทั้งสองคน และประธานกรรมาธิการทุกคณะ
ที่น่าสนใจคือ “ผู้สมคบคิด” จะต้องเอาผิดตาม มาตรา 77 ผู้ใดกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ (1) จัด ทำให้ เสนอให้ สัญญาว่าจะให้ หรือจัดเตรียมเพื่อจะให้ ทรัพย์สิน หรือผลประโยชน์อื่นใด อันอาจคำนวณเป็นเงินได้แก่ผู้ใด เพื่อจูงใจให้ผู้อื่นสมัครเข้ารับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา หรือถอนการสมัคร หรือกระทำการใด ๆ อันไม่ชอบด้วยกฎหมาย ให้ผู้นั้นหมดสิทธิที่จะเลือกหรือได้รับเลือก หรือเพื่อจงใจให้ผู้สมัครหรือผู้มีสิทธิเลือกลงคะแนนหรือไม่ลงคะแนนให้แก่ผู้ใด ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 20,000-200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับและให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้นมีกำหนด 20 ปี
หากที่ถูกแจ้งข้อกล่าวหา ไม่มาพบเจ้าหน้าที่ ก็ถือว่าประสงค์ไม่ให้การชี้แจง แต่จะไม่ถึงขั้นขอศาลออกหมายจับ แต่ กกต. จะเป็นผู้ดำเนินการพิจารณาเรื่องการทุจริตเพื่อออกใบแดง และส่งเรื่องเพิกถอนสิทธิ สว. ไปยังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต่อไป จากนี้ ดีเอสไอดำเนินการเรื่องความผิดคดีอาญาอื่น คือ ฐานฟอกเงินและอั้งยี่ สอบสวนบุคคลที่ร่วมกระทำทุจริต รับเงิน เป็นกลุ่มโหวตเตอร์พลีชีพ จัดฮั้ว เบื้องต้นมีจำนวนหลายร้อยคน เมื่อสอบสวนเสร็จสิ้น ดีเอสไอต้องสรุปสำนวนส่งพนักงานอัยการคดีพิเศษ เพื่ออัยการส่งศาลอาญารัชดาภิเษก ซึ่งฐานความผิดอาญานี้ ผู้ถูกกล่าวหาสามารถสู้ได้ถึง 3 ศาล คือ ศาลชั้นต้น อุทธรณ์ และศาลฎีกา

นายพิสิษฐ์ อภิวัฒนาพงศ์ สว. ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีกระแสข่าว กกต.เตรียมแจ้งข้อกล่าวหา 60 สว. ในคดีฮั้วเลือก สว.ในวันที่ 8 พ.ค.นี้ ว่าไม่ทราบว่ามีใครบ้าง ยังไม่มีการส่งหนังสือแจ้งมายัง สว. ส่วนตัวแทบไม่ได้ตามข่าวเรื่องนี้แล้ว เพราะว่าข่าวก็ลงวนไปวนมาซ้ำซากเหมือนเดิม ที่ผ่านมา กกต.เรียกเข้าไปสอบถามเกี่ยวกับประวัติในแบบข้อมูลแนะนำตัวของผู้สมัคร (สว.3) ว่าใน สว.3 เราเขียนอะไร อย่างไรและไปชี้แจง สว.ทุกคนไปชี้แจง กกต.ในเรื่องนี้ และก็ถามเรื่องฮั้ว แต่พวกเรา สว.ทั้งหมด 200 คน มาจากอิสระทุกคน

นายอิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต. กล่าวถึงเรื่องนี้สั้น ๆ ว่า “เรื่องนี้ไม่มีมูล ได้ยินแต่ข่าว” แม้ว่ามีสื่อหลายสำนักแจ้งว่า จะเรียก สว.มาแจ้งข้อกล่าวหา แต่ก็มีกระแสข่าวเช่นกันว่า “ผู้ที่เกี่ยวข้องเคลียร์กันแล้ว” วาระของ กกต.วันที่ 8 พ.ค.จึงต้องจับตายิ่งยวด
กกต.ได้ออกหนังสือชี้แจงว่า 1. คณะกรรมการ กกต. ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนคณะที่ 26 ขณะนี้ยังไต่สวน ซึ่งเป็นขั้นที่ 1 ของการดำเนินการตามระเบียบ กกต.ว่าด้วยการสืบสวน ไต่สวน และวินิจฉัยชี้ขาด พ.ศ. 2561 และที่แก้ไขเพิ่มเติมถึง (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2566 หากไต่สวนแล้วมีมูลหรือหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าอาจมีการกระทำความผิดตาม พ.ร.ป.การได้มาซึ่ง สว. จะแจ้งข้อกล่าวหากับผู้ถูกกล่าวหา
แต่ขณะนี้ ยังไม่ถึงขั้นเสนอต่อสำนักงาน กกต. (เลขาธิการหรือรองเลขาธิการที่ได้รับมอบหมาย) พิจารณา ตามขั้นที่ 2 และขั้นที่ 3 เสนอคณะอนุกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดปัญหาหรือข้อโต้แย้ง และขั้นที่ 4 ซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายที่เสนอให้คณะกรรมการ กกต.พิจารณาชี้ขาด ข่าวที่ปรากฏ จึงคลาดเคลื่อนจากขั้นตอนตามระเบียบ กกต. ว่าด้วยการสืบสวน ไต่สวน และวินิจฉัยชี้ขาด พ.ศ. … จึงต้องรอดูว่า รายงานข่าวการเรียกแจ้งข้อกล่าวหา จริงเท็จแค่ไหน
แต่ข่าวออกมาว่าเรียกแจ้งข้อกล่าวหา ก็อาจถูกมองว่า มีอะไรลึกๆ ที่เห็นได้ว่า อาจมีความผิดเกิดขึ้น หน่วยงานที่ตรวจสอบมีดีเอสไอ และ กกต. ข่าวจะมาจากไหน อีกไม่นานก็คงเห็นกัน

พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ให้สัมภาษณ์ว่า หากแจ้งข้อกล่าวหาตาม พ.ร.ป.การได้มาซึ่ง สว. ดีเอสไอจะสรุปเรื่องฟอกเงินและอั้งยี่หลัง กกต.ไม่นาน สาวถึงใครเอาผิดทั้งหมด ในส่วน จ.อำนาจเจริญ ไม่ได้มีการขัดขวาง หากไปดูการให้การใน 10 กว่าปากมีการพูดถึงผู้บงการอยู่ ในกฎหมายสอบสวนคดีพิเศษบางมาตรา ที่มีข้อบังคับเกี่ยวกับการประสานงานกับ ผวจ.และตำรวจ หากดีเอสไอแจ้งประสานงานไปคงไม่ขัดขวาง
“ไม่ทราบว่า อธิบดีดีเอสไอแจ้ง ผวจ.ไปหรือไม่ แต่หากเข้าไปขอหลักฐาน ถ้าใครไม่ให้หลักฐาน ในมาตรา 24 จะมีโทษอยู่ พนักงานสอบสวนหากมีหน้าที่แล้วไม่ทำ โดยเฉพาะเรื่องการทุจริตจะมีความผิดตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญรวมถึง ป.อาญา ม.157 ด้วย แต่ขณะนี้ยังไม่พบว่ามีการขัดขวาง”

ที่สำนักงาน กกต. กลุ่มคณะ สว.สำรอง นำโดย พล.ต.ท.คำรบ ปัญญาแก้ว กล่าวถึงกรณีที่ ผวจ.อำนาจเจริญ ทำหนังสือลับถึงปลัดกระทรวงมหาดไทย พบกลุ่มบุคคลอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ดีเอสไอบังคับอดีตผู้สมัคร สว. 2 คนให้ยอมรับว่าฮั้ว สว. ที่ จ.อำนาจเจริญ ว่า จ.อำนาจเจริญ มีกระบวนการในการจัดขบวนการฮั้ว สว.ค่อนข้างชัดเจน มีกลุ่มนักการเมืองใหญ่ในพื้นที่เข้าไปบงการ มีทั้งข้าราชการฝ่ายปกครอง หรือตำรวจ เข้าไปร่วมด้วย อีกทั้งมีการเกณฑ์คนไปสมัครคัดเลือกเป็น สว. เพื่อบริหารจัดการแบ่งกลุ่มดูแลกันเป็นรายอำเภอ
“ใน จ.อำนาจเจริญ มีนักการเมืองใหญ่ดูแล แถมยังเป็นแกนหลักในการบริหารจัดการการฮั้ว สว.ของกลุ่มขบวนการนี้ทั้งประเทศ พบข้อมูลว่า กลุ่มเครือข่ายดังกล่าวที่เป็นตัวแทนในแต่ละจังหวัดจะต้องส่งรายชื่อเข้ามาพร้อมหมายเลข เพื่อให้กลุ่มผู้บงการได้กำหนดว่าใครควรจะเป็น สว. ซึ่งต้องส่งผ่านนักการเมืองใหญ่ ใน จ.อำนาจเจริญ เป็นคนรวมโผเพื่อส่งต่อให้ผู้มีอำนาจเลือกว่าเบอร์ไหน ใครควรจะได้เป็น สว. แล้วค่อยมารวมเป็นตารางโพย เพราะฉะนั้นคำว่าโพยมีที่มาจาก จ.อำนาจเจริญ ซึ่งเป็นพื้นที่ต้นทางในการรวมโพยทั้งหมด”
การสืบสวนสอบสวนจากดีเอสไอใกล้เข้าไปเรื่อย ๆ จึงมีอาการร้อนตัว พบว่า เมื่อวันที่ 13 มี.ค. รอง ผวจ.อำนาจเจริญ ทำบันทึกไปถึงมหาดไทยเพื่อหารือว่า ถ้าหากดีเอสไอเข้ามาตรวจสอบจะวางแนวทางว่าอย่างไร คงจะร้อนตัวตั้งแต่ช่วงนั้น กระทรวงมหาดไทยเองก็มีการยกร่างหนังสือฉบับหนึ่งที่เป็นแนวทางในการปฏิบัติของอำเภอหรือจังหวัดต่างๆ นายตำรวจ หรือฝ่ายปกครอง ต้องปฏิบัติตามและให้ความช่วยเหลือกับเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ มิฉะนั้นจะมีความผิดตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ โทษจำคุก 1-10 ปีอีกผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 200

ส่วนเรื่องงบมหาศาลต่อเติมสภาหมื่นล้าน วันนี้เป็นเรื่อง สว. มาชี้แจง นายพิสิษฐ์ อภิวัฒนาพงศ์ สว. แถลงถึงกรณีสภาของบต่อเติม ในโครงการพัฒนาทักษะภาษาจีนสำหรับ สว. มีมาตั้งแต่ปี 2549 แล้ว เป็นการส่งเสริมบทบาทของรัฐสภาไทยในเวทีระหว่างประเทศ ซึ่งปีนี้เรามีความสัมพันธ์ทางการทูตกับจีนมาครบ 50 ปี สอบถามจากสำนักงบประมาณแล้วว่าใช้เงินจำนวน 5 หมื่นบาท อบรม 15 ครั้ง มีทั้ง สว. สส.และข้าราชการ ขอถามว่าเราใช้งบประมาณเกินกว่าเหตุหรือไม่
ส่วนการจัดสรรงบประมาณสำหรับเบี้ยประชุม กมธ.วิสามัญพิทักษ์และเทิดทูนสถาบันฯ ที่จัดสรรงบประมาณสำหรับเบี้ยประชุมสัปดาห์ละ 1 วัน จำนวนทั้งหมด 52 สัปดาห์ใน 1 ปี ถ้าไม่มีประชุมก็ไม่ต้องเบิกเบี้ยประชุม เช่นเดียวกับ กมธ.สามัญทั่วไป จึงไม่ทราบว่าคนที่ออกคลิปมีเจตนาอะไร หรือต้องการโจมตีแบบนี้ เหตุใด สว.ถึงตกเป็นจำเลยของสังคมวันแล้ววันเล่าไม่จบไม่สิ้นสักที สว.ไม่มีสิทธิอนุมัติงบประมาณใด ๆ ทั้งสิ้น.