เมื่อวันที่ 7 พ.ค. ที่วัดสระขี้ตุ่น ต.หนองบัวตะเกียด อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา นักปกป้องสิทธิมนุษยชน กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทด นัดรวมตัวกันเพื่อจัดกิจกรรมหยุดเหมืองโปแตช บริษัทไทยคาลิ หลังมีแผนระเบิดอุโมงค์เหมืองรอบสองที่บริเวณดอนหนองโพธิ์ ต.หนองบัวตะเกียด โดยบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดฯ ได้เดินทางมาบริเวณปากทางเข้าเหมืองตรงบริเวณดอนหนองโพธิ์ ก่อนมีการตั้งเต็นท์ ปักหลักชุมนม ท่ามกลางเจ้าหน้าที่เหมืองมาคอยสังเกตการณ์และถ่ายรูปตลอดการชุมนุม โดยตัวแทนของนักปกป้องสิทธิมนุษยกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทด ได้ผลัดกันขึ้นปราศรัยถึงผลกระทบของเหมืองโปแตช
ทั้งนี้ นายเลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์ ที่ปรึกษากลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทด กล่าวถึงข้อมูลทางวิชาการว่า การที่เหมืองไทยคาลิ จะทำการขุดเหมืองรอบใหม่ หลังจากจะใกล้ตาย ก็ได้บริษัทเอกชนเกี่ยวกับธุรกิจพลังงาน มาถือหุ้นถึง 65 เปอร์เซ็นต์ หรือกว่า 3,300 ล้านบาทบริษัทเหมืองแห่งนี้ก็กลับมาฟื้นอีก ซึ่งตัวเจ้าของบริษัทไทยคาลิ ที่ขายหุ้นให้เอกชนไป ได้กำไรเน้นๆ กว่า 2,000 ล้านบาท ทั้งที่ลงทุนไปเพียง 1,000 ล้านบาท ซึ่งเจ้าของที่ขายหุ้นไป ไม่มีการนำเงินมาทำเหมืองต่อแน่นอน เพราะได้กำไรไปอย่างมหาศาล ต่อมาเป็นโจทย์ใหญ่ของเอกชนที่ซื้อหุ้นไปว่า จะหาเงินที่ไหนมาลงทุนเพื่อทำเหมืองต่อ จึงได้ไปจับมือกับรัฐวิสาหกิจจีนรายใหญ่ที่ชื่อว่า บริษัท CCMC ซึ่งทางเว็บไซต์บริษัท ก็มีการประกาศอย่างเป็นทางการ ได้รับการสัมปทานทำเหมืองด้วยจำนวนเงินถึง 5,890 ล้านบาท แต่ด้วยกฎหมายของไทย ที่ไม่ต้องให้บริษัทต่างชาติเข้ามาผูกขาด จึงกำหนดให้บริษัทต่างชาติถือหุ้น 49 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่บริษัทสัญชาติไทยต้องถือหุ้น 51 เปอร์เซ็นต์

“ด้วยกฎหมายของไทยที่ไม่ต้องการให้บริษัทต่างชาติผูกขาด บริษัทรัฐวิสาหกิจจีนนี้ จึงใช้วิธีซิกแซ็ก ด้วยการตั้งบริษัทลูกขึ้นมา 2 บริษัท คือ บริษัท ไชนาโค คอนสตรัคชั่น และบริษัท ไชนาโคไม่นิ่ง แต่ความพิรุธอยู่ที่ บริษัท ไชนาโค คอนสตรัคชั่น มีทุนจดทะเบียนเพียงแค่ 5 แสนบาท ไปซื้อหุ้นจำนวนเงินกว่า 100 ล้านบาท ในการเป็นบริษัทไทย ที่สามารถถือหุ้นได้ 51 เปอร์เซ็นต์ แล้วผู้บริหารที่มีอำนาจการตัดสินใจก็ล้วนเป็นคนจีน ส่วนคนไทยเป็นเพียงนอมินีเท่านั้น ซึ่งการซิกแซ็กที่ว่านี้ มั่นใจว่า ซ้ำรอยเช่นเดียวกับตึก สตง. ที่ถล่มแน่นอน เพราะมีวิธีการคล้ายกัน เมื่อเกิดเหตุ เช่น ตึกถล่ม หรือหากว่าเกิดเหตุอุโมงค์เหมืองถล่ม ก็ไม่สามารถสาวหาเอาคนผิดหรือบริษัทยักษ์ใหญ่ตัวการได้ เพราะมีการให้ ซับคอนแทค ดำเนินการแทน แล้วก็รับความผิดไป จึงอดตั้งข้อสงสัยไม่ได้ว่าเอกชนดังกล่าว จะถอยจากธุรกิจสีเขียวไปสู่ธุรกิจทุนเทาแล้วใช่หรือไม่” นายเลิศศักดิ์ กล่าว
นายเลิศศักดิ์ กล่าวอีกว่า การต่อสู้ครั้งนี้ ยอมรับว่าเราต้องใช้ระยะเวลา เราเริ่มต้นด้วยกลุ่มคัดค้านเมื่อ 3 ปีก่อน ที่ถูกหลอกลวงจากผู้นำชาวบ้าน ชักชวนไปคัดค้านเหมือง แต่ไปทำเพื่อตัวเองให้ได้รับเงินจากเหมือง พอรับเงินก็ทิ้งชาวบ้าน เป็นอย่างนี้มาตลอด เราพยายามปรับเปลี่ยนเพราะถือเป็นการหลอกลวง การที่เราปักหลักสู้ตรงนี้ เราจะไม่ต้องถูกหลอกอีก การขุดเจาะอุโมงค์เหมืองใต้ดินที่หนองไทรที่ผ่านมา น้ำทะลักท่วมแล้วมีการสูบน้ำขึ้นมาท่วมไร่นาของชาวบ้าน แล้วไม่รับผิดชอบ วิธีแก้ไขของเขา นอกจากไม่ยอมแก้ไข แต่กลับไปขุดเหมืองเพิ่ม แล้วจะใช้ระเบิดที่ดอนหนองโพ เราไม่อยากเห็นประวัติซ้ำรอยอีก ถ้าอยากทำเหมืองต้องแก้ไขอุโมงค์เก่า และชดใช้ค่าเสียหายให้ชาวบ้านหนองไทรให้สมเหตุสมผล ที่ผ่านมาไม่ถึง 5 เปอร์เซ็นต์

“ปัญหาของเราขณะนี้เป็นปัญหาระดับชาติไปแล้ว หลังบริษัทเอกชนมาซื้อหุ้นจากบริษัทไทยคาลิ รวมทั้งมีการจับมือกับทุนเทา เพื่อทำเหมืองอีก ซึ่งถือเป็นปัญหาระดับชาติ ที่จุดจบคงไม่ต่างจากกรณีของตึก สตง. ที่ถล่ม วันนี้เราอยู่ตรงด้านหลังเหมือง อยู่ตรงถนนที่ถือเป็นจุดเชื่อมระหว่างอุโมงค์เก่าและอุโมงค์ใหม่ ซึ่งเป็นเส้นทางที่จะมีการขนเครื่องจักร ต่อไปเราอาจไปอยู่ที่ตรงกำแพงเหมือง เพื่อร่ายคาถาให้กำแพงพัง อย่าคิดว่ากำแพงแค่นั้นจะขัดขวางเรา เราจะไปทำทุกอย่างเพื่อยับยั้งไม่ให้เกิดการทำเหมือง เราจะต่อสู้แบบยืดเยื้อ เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ” นายเลิศศักดิ์ กล่าว
ขณะที่ น.ส.จุฑามาส ศรีหัตถผดุงกิจ ผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนที่ปรึกษากลุ่มคนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทด กล่าวว่า กระทรวงอุตสาหกรรม โดย กพร. ที่บอกว่าตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการทำเหมืองแร่ ที่ผ่านมา ไม่เคยเรียกเราไปนั่งฟัง อย่างโรงต้มเกลือที่มีมาภายหลัง ก็ไม่เคยบอก เราไม่เคยรู้เลย รวมถึงเปลี่ยนแปลงแผนผังโครงการทำเหมือง ก็ไม่มีการบอกกล่าว แสดงถึงการไม่สนใจกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน หรืออย่างหน่วยงานจังหวัดเปลี่ยนผู้ว่ามาแล้ว 3 คน ก็ไม่เคยมีการเปลี่ยนแปลงอะไรในทางที่ดีขึ้นเลย ล่าสุดเหมือนจะดี มีการตั้งคณะทำงานระดับจังหวัด แต่สุดท้ายคณะทำงานระดับจังหวัดนี้ ก็ถูกแช่แข็งไม่มีการประชุม โดยอ้างต้องรอประชุมกับผู้ตรวจการแผ่นดินจนไม่สามารถจัดประชุมได้ จนล่าสุดหลังจากการลงพื้นที่ตรวจสอบของกรรมาธิการฯ วุฒิสภา เราจึงได้รับหนังสือเปิดเผยข้อมูลของคณะทำงานเกี่ยวกับผลการตรวจสอบคณะทำงานระดับจังหวัดเมื่อวานนี้เอง ถ้าเราไม่ติดตามอย่างเข้มข้น คงไม่ได้ข้อมูลนี้มา อย่างกรมทรัพยากรน้ำบาดาล เราได้รับข้อมูลน้อยมาก ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่มีข้อมูลอะไรให้เราเลย โดยเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องน้ำใต้ดิน ยืนยันว่าสิ่งที่เราเรียกร้องนั้นไม่ใช่สิ่งที่ยากเย็น เราอยากให้มีการตรวจสอบที่เป็นธรรม ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของประชาชน เหมืองใหม่ที่จะทำต้องหยุดแล้วมาแก้ไขพื้นที่เดิม ก่อนที่ทุกอย่างจะสายไป.