เมื่อวันที่ 8 พ.ค. ที่รัฐสภา มีการประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน สภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) ในฐานะประธานกมธ. ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณาศึกษาผลการดำเนินการ และการบริหารจัดการงบประมาณของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร โดยเชิญผู้แทนจากสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร รวมถึงนายปดิพัทธ์ สันติภาดา อดีตรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 เข้าให้ข้อมูล
โดยนายพริษฐ์ กล่าวก่อนเข้าสู่วาระการประชุมว่า ตนได้หารือกับ กมธ.ถึงรายละเอียดของทั้ง 15 โครงการที่มีการส่งคำร้องของบประมาณในการปรับปรุงอาคารรัฐสภา และไฮไลต์ออกมาทั้งหมด 5 โครงการหลักที่จะมีการพิจารณาในวันนี้คือ 1.อาคารที่จอดรถเพิ่มเติมมูลค่า 4,600 ล้านบาท โดยมีการทำคำขอในงบประมาณปี 69 ไปจำนวน 1,500 ล้านบาท 2.โครงการระบบภาพยนตร์ 4 ดี อยู่ในตัวร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯ 69 อยู่ที่ 180 ล้านบาท 3.โครงการปรับปรุงศาลาแก้ว จำนวน 22 ล้านบาท อยู่ในตัวร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯ เช่นเดียวกัน 4.การปรับปรุงห้องประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) งบประมาณ มูลค่า 118 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในตัวร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯ และ 5.การตกแต่งฉากหลังบัลลังก์ประธานสภา มูลค่า 133 ล้านบาท โดยยังไม่ได้ถูกอนุมัติในปีนี้ เบื้องต้นตนอยากให้ชี้แจงภาพรวมก่อนว่า สรุปแล้วในการก่อสร้างอาคารรัฐสภามีทั้งหมดกี่บาท หากอ้างอิงเอกสารงบประมาณปี 68 จะมีการพูดถึงวงเงินทั้งหมด 1.3 หมื่นล้านบาท ค่าควบคุมการก่อสร้างอีกประมาณ 400 ล้านบาท
นายพริษฐ์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ยังมีการตั้งงบประมาณเพิ่มเติมอีก 293 ล้านบาท อยากทราบว่าสถานะของการตรวจรับอาคารรัฐสภาตอนนี้เป็นอย่างไร ตรวจรับทั้งหมดแล้วใช่หรือไม่ มีการจ่ายเงินทุกงวดแล้วใช่หรือไม่ และช่วยยืนยันได้หรือไม่ว่าทั้ง 15 โครงการที่มีการของบประมาณนั้นไม่มีโครงการใดอยู่ในแบบแผนดั้งเดิมที่มีก่อนหน้านี้ใช่หรือไม่ เพราะหากอยู่ตนคิดว่าเป็นเรื่องใหญ่เพราะเป็นสิ่งที่ควรถูกรวมอยู่ในงบประมาณก่อสร้างอยู่แล้ว
ด้านนายปดิพัทธ์ กล่าวว่า ในฐานะที่ตนเคยเป็นอดีตรองประธานสภา และเคยได้รับผู้แทนจากต่างประเทศต่างๆ ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าสภาของเราฟุ่มเฟือย ใหญ่เกินไป ซึ่งตนคิดว่าโครงการนี้เป็นเพียงแค่หนึ่งตัวอย่าง ในปีหน้าก็อาจจะมีอีก แต่การตกแต่งสภาอาจจะไม่มีวันสิ้นสุด หากเราคิดว่าการตกแต่งพวกนี้จะส่งเสริมภารกิจของสภาซึ่งความจริงภารกิจของสภาคือประสิทธิภาพของการพิจารณากฎหมาย มองว่าร้อยล้านหากเทียบกับโครงการอีกหลายร้อยล้าน อาจจะดูเป็นเรื่องเล็กสำหรับหน่วยงานราชการ แต่ถ้ามองสะท้อนไปในบริบทประเทศ ตนคิดว่าเรื่องนี้ผ่านไปท่ามกลางความสาปแช่งของคนในประเทศแน่นอน และตนรับประกันว่าจะไม่ได้ใช้งาน เพราะที่รับรองของเรามีอยู่แล้ว
ทางด้าน ว่าที่ ร.ต.ต.อาพัทธ์ สุขะนันท์ เลขาธิการสภา กล่าวว่า โครงการที่เสนอของบประมาณนั้นเป็นกระบวนการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่เสนอตามคำของบประมาณ ซึ่งต้องผ่านการรับฟังความเห็น หากให้ตนพิจารณาจะเป็นการหักด้ามพร้าด้วยเข่า เพราะกระบวนการไม่ได้เริ่มที่ตน ดังนั้นเบื้องต้นตนจะหารือกับหน่วยงานเจ้าของโครงการ รวมถึงประธานสภา รองประธานสภา
จากนั้นนายพริษฐ์ แถลงว่า ผลการประชุมกรรมาธิการฯ ว่า กรรมาธิการยึด 3 หลักด้วยกันคือ การตรวจสอบงบประมาณไม่ใช่แค่ว่าการจัดสรรงบประมาณชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ต้องตรวจสอบความเหมาะสมด้วย ถึงแม้งบประมาณบางส่วนจะเป็นไปตามระเบียบ แต่เราจำเป็นต้องตั้งคำถามว่า ภายใต้ทรัพยากรที่จำกัด การจัดสรรงบประมาณจัดลำดับความสำคัญอย่างเหมาะสมหรือไม่ในการแก้ปัญหาให้ประชาชน
นายพริษฐ์ กล่าวว่า หลักที่ 2 คือการจัดการงบประมาณปี 2569 เกิดขึ้นท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจที่ย่ำแย่ จึงควรประหยัดงบประมาณในส่วนที่ฟุ่มเฟือยหรือไม่จำเป็น และ หลักที่ 3 บ่อยครั้งงบประมาณถูกอ้างว่าเพื่อภาพลักษณ์ของรัฐสภาแต่ภาพลักษณ์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความยิ่งใหญ่ของอาคาร แต่ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพการทำหน้าที่แก้ไขกฎหมายและเป็นตัวแทนแก้ไขปัญหาให้ประชาชน
นายพริษฐ์ กล่าวต่อไปว่า จากการซักถามหน่วยงานยาวนานเกือบ 4 ชั่วโมง เห็นว่ามีขั้นตอนต่อไป คือ การตั้งข้อสังเกตในภาพรวม เพราะตอนนี้มีหลายปัญหาที่เห็นรายโครงการ สืบเนื่องมาจากแผนดั้งเดิมของอาคารรัฐสภามีปัญหา ทางหน่วยงานยืนยันว่าแม้หลายโครงการจะเป็นการแก้ไขปรับปรุงบางส่วน แต่ส่วนหนึ่งก็เพราะแผนดั้งเดิมไม่ได้ครอบคลุมองค์ประกอบดังกล่าวตั้งแต่ต้น เราจึงต้องการเรียกเอกสารเพื่อตรวจสอบแผนดั้งเดิมโดยละเอียดว่าแผนดังกล่าวผ่านมาได้อย่างไร
นายพริษฐ์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ที่มาของ 15 โครงการ เมื่อรับฟังจากตัวแทนที่มาชี้แจงเบื้องต้น มีโครงการบางส่วนที่ถูกชงขึ้นมาจากหน่วยงานราชการ แต่บางส่วนก็ถูกชงขึ้นมาจากคณะกรรมการพิเศษ ที่มีคำถามว่าอาจจะถูกตั้งโดยฝ่ายการเมือง สำหรับโครงการอาคารจอดรถเพิ่มเติมที่พบข้อพิรุธค่อนข้างมาก มีคำของบประมาณเป็นงบผูกพัน 3 ปี รวมกัน 4,600 กว่าล้านบาท แม้จะยังไม่ได้รับอนุมัติจากสำนักงบประมาณ แต่มีข้อกังวล เช่น แผนดั้งเดิมของอาคารจอดรถที่มีอยู่อาจขัดกับข้อบัญญัติ กทม. ที่กำหนดไว้ว่าอาคารแต่ละประเภท เมื่อคำนวณจากพื้นที่ตารางเมตร ต้องมีที่จอดรถทั้งหมดกี่ที่ ซึ่งเมื่อคำนวณแล้วจะออกมาได้ 3,500 คัน แต่แผนดั้งเดิมออกแบบไว้ให้มีที่จอดรถเพียง 2,000 คันเท่านั้น
“คำถามที่ตามมาคือ เมื่อขัดกับข้อบัญญัติของ กทม. แล้วใครจะรับผิดชอบ ผมเห็นว่าไม่เหมาะสมที่จะบอกว่าต้องเพิ่มจำนวนที่จอดรถให้สอดคล้องกับกฎหมาย แต่ต้องมารับผิดชอบโดยภาษีของพี่น้องประชาชน” นายพริษฐ์ กล่าว
นายพริษฐ์ ตั้งข้อสังเกตอีกว่า คณะกรรมการพิเศษที่ถูกตั้งขึ้นมา และเป็นผู้ชงเรื่องการสร้างอาคารที่จอดรถเพิ่มเติม เสนอให้เพิ่มที่จอดรถเพิ่มจากเดิมอีก 4,600 ที่ รวมเป็น 6,500 ที่ เราต้องการตรวจสอบว่าใช้สูตรคำนวณใดให้ได้ตัวเลข 4,600 ที่ออกมา ดูไม่สมเหตุสมผลกับจำนวนของผู้ที่เข้าใช้บริการรัฐสภาพร้อมกันในวันเดียว เหมือนเป็นการตั้งสมมุติฐานที่สูงเกินไป นอกจากนี้ ต้องตรวจสอบว่าใช้สูตรคำนวณใดจึงต้องใช้งบประมาณสร้างอาคารจอดรถถึง 4,600 ล้านบาท

นายพริษฐ์ กล่าวต่อว่าทั้งนี้ หน่วยงานรัฐสภากำลังเปิดประมูลบริษัทมาออกแบบอาคารจอดรถด้วยงบประมาณ 100 กว่าล้านบาท แต่ไม่ได้ตั้งประมาณไว้ในปี 2568 แต่นำงบประมาณที่เหลืออยู่จากปี 2567 โอนมาใช้ในส่วนนี้ ซึ่งที่ผ่านมาพบว่าไม่เคยมีการโอนงบประมาณในลักษณะนี้มาก่อน ถึงแม้จะมีระเบียบของรัฐสภารองรับ แต่มีความจำเป็นอย่างไรที่ต้องใช้งบประมาณมากขนาดนี้ในการว่าจ้างบริษัทมาออกแบบอาคาร โดยมีบริษัทเสนอราคาเข้ามา 3 แห่ง แต่บริษัทที่ชนะยังไม่ได้มีการเซ็นสัญญา เพราะบริษัทอื่นที่ไม่ได้รับคัดเลือก ได้ทำเรื่องอุทธรณ์เข้ามา จึงต้องตรวจสอบต่อไปว่ามีข้อบกพร่องอย่างไร และเวลานี้ยังทันอยู่ที่จะยับยั้งการเซ็นสัญญานี้
นายพริษฐ์ กล่าวว่า สำหรับโครงการโรงภาพยนตร์ 4D ที่ได้รับการอนุมัติไปแล้ว 180 ล้านบาท ข้อสังเกตคือหน่วยงานไม่สามารถชี้แจงรายละเอียดที่ทำให้รู้สึกว่าโครงการนี้มีความคุ้มค่า มีเหตุจำเป็นใดในการทำระบบภาพยนตร์ 4D เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการต้อนรับประชาชนที่มาเยี่ยมชมรัฐสภา และเนื้อหาอะไรที่ต้องใช้ระบบ 4D เท่านั้น แล้วจะทำให้ประชาชนหรือนักศึกษาอยากมาเยี่ยมรัฐสภาเพิ่มขึ้นอีกกี่คน หน่วยงานก็ตอบไม่ได้ ทำให้เห็นว่าโครงการนี้ไม่ได้ถูกคิดขึ้นมาอย่างละเอียด ส่วนโครงการศาลาแก้ว 123 ล้านบาท ก็ทำนองเดียวกันที่คำตอบวันนี้ไม่ได้ทำให้เห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วน
นายพริษฐ์ กล่าวต่อว่า สำหรับขั้นตอนต่อไป หวังให้เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรนำข้อสังเกตของกรรมาธิการและเสียงทักท้วงของประชาชนเข้าสู่ที่ประชุมผู้บริหาร ซึ่งมีประธานสภาผู้แทนราษฎร และรองประธานสภาผู้แทนราษฎรร่วมด้วย ในวันที่ 13 พ.ค.นี้ และขอให้ที่ประชุมมีมติออกมาอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร ว่าหลังจากข้อทักท้วงของคณะกรรมาธิการและประชาชนแล้ว จะยุติการเดินหน้าโครงการใด
“เพราะไม่เพียงพอที่จะอ้างว่า ให้คณะกรรมาธิการวิสามัญงบประมาณฯ ไปตัดงบประมาณเอาเอง ซึ่งจะเป็นการสร้างมาตรฐานให้ในอนาคต หน่วยงานสามารถเสนอโครงการที่ไม่สมเหตุสมผลเข้ามาได้ เพื่อให้ สส. ปรับลดเอง เป็นสิ่งสำคัญเมื่อได้ยินเสียงของประชาชน และถูกตั้งข้อสังเกตจากคณะกรรมาธิการแล้ว ที่ประชุมผู้บริหารควรมีมติที่จะทบทวนและยุติโครงการใด” นายพริษฐ์ กล่าว
นายพริษฐ์ กล่าวว่า คำยืนยันของที่ประชุมผู้บริหารนั้น จะทำให้กรรมาธิการวิสามัญงบประมาณฯ ตัดงบประมาณดังกล่าวได้ง่ายขึ้น และสามารถป้องกันความเสี่ยงในอนาคตที่ถึงแม้จะถูกตัดงบประมาณออกไปแล้ว แต่ผู้บริหารงานจะใช้วิธีโอนงบประมาณส่วนอื่นกลับมารื้อฟื้นโครงการดังกล่าว แม้ไม่อยู่ในเอกสารงบประมาณ รวมถึงคำยืนยันจากที่ประชุมผู้บริหาร ยังมีโอกาสเรียกคืนความเชื่อมั่นของประชาชนต่อผู้บริหารรัฐสภาแห่งนี้ได้.