เมื่อวันที่ 8 พ.ค. 2568 ที่รัฐสภา มีการประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การทหาร สภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะประธาน กมธ. เป็นประธานการประชุม ซึ่งมีวาระกรณีกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ภาค 3 กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองพิษณุโลก ให้ดำเนินคดีกับนายพอล เวสลีย์ แชมเบอร์ส อาจารย์มหาวิทยาลัยนเรศวร สัญชาติอเมริกัน ในฐานความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 โดยเชิญ พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก (ทบ.) พล.ต.ธรรมนูญ ไม้สนธิ์ โฆษก กอ.รมน. พ.ต.อ.วัชรพงษ์ สิทธิรุ่งโรจน์ ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรเมืองพิษณุโลก และ ร.ต.อ.พรชัย ปลั่งกลาง พนักงานสอบสวนเจ้าของสำนวนเข้าชี้แจง แต่บุคคลที่เกี่ยวข้องดังกล่าวไม่ได้มาเข้าร่วมชี้แจง กมธ. โดยทางกองทัพบก (ทบ.) ชี้แจงว่า ไม่ได้เกี่ยวข้องกับกรณีนี้ ขณะที่ทางโฆษก กอ.รมน. แจ้งว่า ติดภารกิจ และทางฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ แจ้งว่าลาพักผ่อน
จากนั้น กมธ.ได้พิจารณาในประเด็นของหลักฐานที่ใช้ในการดำเนินคดีและฝากขังว่าเพียงพอหรือไม่ ซึ่งในการประชุมกรรมาธิการครั้งก่อนหน้า ตัวแทน กอ.รมน. ชี้แจงว่า ดำเนินคดีตามมาตรา 7 (1) ของ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 ซึ่งระบุไว้ว่า อำนาจหน้าที่ของ กอ.รมน. คือการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินแนวโน้มของสถานการณ์ที่อาจก่อให้เกิดภัย คุกคามด้านความมั่นคงภายในราชอาณาจักรและรายงานคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อพิจารณาดําเนินการต่อไป
ด้าน ผศ.ดร.กริช ภูญียามา คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ในกรณีนี้ เป็นการดำเนินการโดย กอ.รมน. ซึ่งเป็นหน่วยงานอยู่ในฐานะนิติบุคคล ที่มีกฎหมายกำกับไว้ ซึ่งเมื่อกฎหมายกำกับว่าต้องดำเนินการผ่าน ครม. ก็ต้องทำตามนั้น แต่กรณีนี้จะไม่มีปัญหาเลย หากไปแจ้งความกล่าวโทษในฐานะส่วนตัว แต่น้ำหนักของการกล่าวโทษย่อมไม่เท่ากันอยู่แล้วโดยสภาพ พร้อมย้ำหลักการของหน่วยงานของรัฐว่า กฎหมายมีไว้แค่ไหน ต้องใช้อำนาจตามขอบเขตนั้น สิ่งแตกต่างจากเอกชนที่ทำได้ทั้งหมดยกเว้นเรื่องที่กฎหมายห้าม
จากนั้น กมธ. ตั้งข้อสังเกตว่า หลักฐานที่ใช้ดำเนินคดีมีเพียงพอหรือไม่ เพราะยังไม่เห็นหลักฐานอื่นนอกจากเอกสารสูจิบัตรของสถาบันเอเชียอาคเนย์ศึกษา ยูซุฟ อิสฮัค (ISEAS-Yusof Ishak Institute) ทางตัวแทนของ กอ.รมน. ก็ไม่ได้กล่าวถึงหลักฐานอื่นใด
ต่อมา กมธ. ได้พิจารณาข้อความในหนังสือคำร้องขอฝากขังนายพอล ที่มีการบรรยายพฤติการณ์แห่งคดี โดยระบุว่าผู้ต้องหาคือ นายพอล ได้โพสต์ข้อความลงในเว็บไซต์ของ ISEAS สถาบัน Yusof Ishak และในช่วงหนึ่ง ได้มีการแปลข้อความดังกล่าวเป็นภาษาไทยระบุว่า “สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีการแบ่งฝ่าย อย่างมาก ซึ่งผู้ได้รับการแต่งตั้งระดับอาวุโสคนใหม่นั้น มาจากการแข่งขันที่มีการแบ่งฝ่ายและพวกพ้อง ในประเด็นข้อถกเถียงดังกล่าว… จะเปิดเผยให้ทราบว่าผู้ได้รับการแต่งตั้งใหม่นั้นเป็นใคร บุคคลเหล่านี้เป็นตัวแทนของฝ่ายใด”
นายวิโรจน์ กล่าวว่า ข้อความ … ที่ได้ถูกละไว้ เมื่อนำมาเทียบกับข้อความดั้งเดิมที่คัดลอกมาจากเว็บไซต์ดังกล่าว ซึ่งได้นำมาเป็นหลักฐานประกอบการแจ้งความ จะเห็นว่าข้อความภาษาอังกฤษระบุไว้ว่า “In this discussion, Dr Paul Chambers will explore who the new appointees are, the factions they represent,” จึงจะเห็นได้ว่าข้อความ… ที่หายไปนั้น คือคำว่า Dr. Paul Chambers

นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า ในส่วนนี้ถ้านายพอล เป็นผู้โพสต์ข้อความนี้จริง ควรต้องใช้คำว่า I will explore แต่ถ้าเป็นบุคคลอื่นเขียนโดยไม่ใช่ ดร.พอล เขียน ก็จะใช้คำว่า Dr. Paul Chambers will explore แทน จึงขอตั้งเป็นประเด็นไว้ให้กรรมาธิการพิจารณา ทั้งนี้ เพื่อให้ความเป็นธรรม กรรมาธิการได้บันทึกไว้ว่าข้อความในเว็บไซต์ขณะนี้ได้มีการปรับแก้เนื้อหาไปแล้วบางส่วน อย่างไรก็ตาม ในส่วนที่กล่าวว่า Dr. Paul Chambers will explore ก็ยังคงไว้เช่นเดิม ซึ่งนายวิโรจน์ให้ความเห็นว่า หากในหนังสือคำร้องขอฝากขังใช้คำว่า Dr. Paul Chambers แทนข้อความ … ที่หายไป ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ศาลอาจนำมาร่วมพินิจพิเคราะห์อย่างละเอียดด้วยว่า นายพอล อาจไม่ใช่ผู้เขียนงานชิ้นนี้ จึงขอตั้งคำถามถึงผู้ดำเนินการฝากขังว่า จงใจตัดข้อความดังกล่าวเพื่อหลอกลวงศาลว่า ดร.พอล เป็นผู้เขียนใช่หรือไม่
ขณะที่นายเชตะวัน เตือประโคน สส.ปทุมธานี พรรคประชาชน ในฐานะ กมธ. กล่าวสนับสนุน ข้อสังเกตของนายวิโรจน์ว่า ปฏิเสธไม่ได้ว่าการใช้มาตรา 112 มีความข้องเกี่ยวกับการกลั่นแกล้งทางการเมืองพอสมควร และต้องเน้นย้ำว่า ในหนังสือคำร้องขอฝากขัง ในส่วนอื่นที่กล่าวถึง ดร.พอล แชมเบอร์ส ก็ใช้คำว่าผู้ต้องหา แต่เหตุใดจึงเว้นข้อความ … ไว้เพียงส่วนเดียว ซึ่งทั้งผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย และนิติกรก็เห็นตรงกันว่าเป็นข้อความส่วนที่มีความสำคัญ
อย่างไรก็ตาม นายวิโรจน์ กล่าวด้วยว่า ตอนนี้ยังสรุปไม่ได้ว่าข้อเท็จจริงมีเพียงเท่านี้หรือไม่ แต่ถ้าหากมีเพียงเท่านี้จริง การดำเนินการดังกล่าวอาจจะเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ได้
ส่วนนายสุภลักษณ์ กาญจนขุนดี ที่ปรึกษา กมธ.การทหาร กล่าวว่า งานวิชาการของ ดร.พอล ซึ่งเป็นคนระมัดระวังเรื่องการพาดพิงสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างมาก และจากประสบการณ์มั่นใจว่า ในงานสัมมนา คงไม่มีผู้เสวนาคนใดที่จะเขียนคำโปรยเพื่อแนะนำตนเอง ซึ่งการดำเนินคดีนี้ไม่ได้กระทำด้วยความละเอียดรอบคอบ และเคร่งครัดต่อกฎหมายเพียงพอ เพราะข้อความทั้งหมดในงานวิชาการ ไม่มีส่วนใดแสดงความอาฆาตมาดร้าย หรือดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ จึงเห็นว่าเป็นการใช้กฎหมายและหลักฐานประกอบอย่างผิดฝาผิดตัว โดยใช้โพสต์เฟซบุ๊กของบุคคลที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยไม่มีหลักฐานอื่นประกอบเลย
นายวิโรจน์ กล่าวว่า กมธ. จะเตรียมทำหนังสือถึงอธิการบดีมหาวิทยาลัยนเรศวร สอบถามกรณีเลิกจ้างนายพอล เนื่องจากถูกเพิกถอนวีซ่าโดยสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และหากท้ายที่สุดกระบวนการยุติธรรมพิสูจน์ออกมาว่านายพอล เป็นผู้บริสุทธิ์ ทางมหาวิทยาลัยนเรศวร มีนโยบายอย่างไรที่จะมอบความเป็นธรรม และมอบเสรีภาพทางวิชาการให้กับนายพอล.