สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานจากกรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 10 พ.ค. ว่า จากการนับสถิติของเอเอฟพี มีผู้ป่วยโรคหัดอย่างน้อย 1,012 คน นับตั้งแต่ต้นปี 2568 มากกว่า 70% มาจากรัฐเทกซัส โดยเฉพาะในชุมชนคริสเตียนเมนโนไนต์ ซึ่งส่งเสริมแนวคิดต่อต้านวัคซีน จนทำให้พรมแดนระหว่างรัฐเทกซัสกับรัฐนิวเม็กซิโก ได้รับผลกระทบอย่างหนัก

ด้านข้อมูลจากสำนักงานสาธารณสุขแห่งรัฐนอร์ทดาโกตา ซึ่งเป็นรัฐล่าสุดที่รายงานการระบาด พบผู้ติดเชื้ออย่างน้อย 9 คน และได้สั่งกักตัวนักเรียนประมาณ 180 คน

ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า จำนวนผู้ป่วยที่แท้จริงอาจสูงกว่าที่รายงานมาก เนื่องจากผู้คนเกรงกลัวที่จะไปพบแพทย์ ขณะเดียวกัน จำนวนผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 3 ราย ซึ่งได้แก่เด็กหญิง 2 ราย จากรัฐเทกซัส และผู้ใหญ่ 1 ราย จากรัฐนิวเม็กซิโก ถือเทียบเท่าจำนวนผู้เสียชีวิต “ตลอด 25 ปีที่ผ่านมา”

แม้ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐ (ซีดีซี) แนะนำให้ผู้คนฉีดวัคซีนให้ถึง 95% เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ แต่ความครอบคลุมของวัคซีนป้องกันโรคหัดในเด็กอนุบาล ได้ลดลงจาก 95.2% ในปีการศึกษา 2562-2563 เหลือเพียง 92.7% ระหว่างปีการศึกษา 2566-2567

ดร.ซูซาน แมคเลลแลน ศาสตราจารย์สาขาโรคติดเชื้อจากมหาวิทยาลัยเทกซัส วิจารณ์นายโรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี จูเนียร์ รมว.สาธารณสุข ซึ่งมักกล่าวสนับสนุนแนวทางรักษาที่ไม่ใช่วัคซีน เช่น วิตามินเอ โดยเธอระบุว่า วิธีดังกล่าวไม่มีประสิทธิภาพ และวิกฤติการณ์ครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นว่า ประชาชนสูญเสียความไว้วางใจต่อหน่วยงานสาธารณสุข ทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ.

เครดิตภาพ : AFP