จากกรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ภายใต้การอำนวยการของ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้แต่งตั้งคณะพนักงานสอบสวนเพื่อทำการสอบสวนกรณีความผิดฐานฟอกเงินของบุคคลหรือคณะบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา (สว.) รวมถึงผู้ที่เป็นสมาชิกอั้งยี่และผู้สนับสนุนเป็นคดีพิเศษที่ 24/2568 ต่อมาเจ้าหน้าที่ดีเอสไอได้ลงพื้นที่สืบสวนสอบสวนพยานบุคคล ขยายผล รวบรวมพยานหลักฐานเอกสาร สอบปากคำพยานในแต่ละภูมิภาค สอบปากคำพยานกลุ่ม สว.สำรอง ตรวจสอบข้อมูลทางธุรกรรมธนาคารของบุคคลในขบวนการ ข้อมูลผู้ใช้โทรศัพท์ พิกัดที่อยู่ก่อนวันเลือก สว.ระดับประเทศ นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 25 เม.ย.68 ดีเอสไอได้ร่วมกับ พล.ต.ท.คำรบ ปัญญาแก้ว อดีตผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะผู้นำกลุ่ม สว.สำรอง เข้าสังเกตการณ์ ตรวจสถานที่คัดเลือก สว.ระดับประเทศ และจำลองเหตุการณ์ ณ อาคารอิมแพ็ค ฟอรัม ฮอลล์ 4 เมืองทองธานี จ.นนทบุรี เพื่อประกอบการสอบสวนในคดีฟอกเงิน-อั้งยี่ สว. โดยการใช้เครื่องมือปฏิบัติการพิเศษ เลเซอร์สแกน และไลดาร์สแกน บูรณาการกับระบบเทคโนโลยี AI ตรวจจับพฤติกรรมพิรุธ การรวมกลุ่มของคณะบุคคลผ่านไฟล์ภาพกล้องวงจรปิด ทั้งยังใช้ประกอบการไต่สวนของสำนวนคดี กกต. (คณะอนุกรรมการสืบสวนและไต่สวน) อย่างไรก็ดี การสอบสวนฐานฟอกเงิน-อั้งยี่ของดีเอสไอได้ดำเนินการต่อเนื่องรวมเป็นเวลากว่า 2 เดือน และคาดการณ์ว่าจะมีความคืบหน้าสำคัญภายในสิ้นเดือน พ.ค.นี้ ตามที่มีการรายงานข่าวไปแล้วนั้น

เกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 19 พ.ค. “ผู้สื่อข่าวเดลินิวส์” ได้รับการเปิดเผยจากแหล่งข่าว ว่า ภายหลังจากที่ดีเอสไอได้ทำการสืบสวนสอบสวนเรื่องเส้นทางการเงินของบุคคลที่เกี่ยวข้อง โดยเป็นการประสานข้อมูลรายการเดินบัญชี (Statement) จากธนาคาร และพิจารณาธุรกรรม วิเคราะห์กิจกรรมการเงิน ในฐานความผิดอาญาที่ดีเอสไอรับผิดชอบ คือ ฟอกเงิน อั้งยี่ ปัจจุบันนี้พนักงานสอบสวนพบว่ามีเส้นทางการเงินและพฤติการณ์ของการกระทำความผิด มีลักษณะเป็นคณะบุคคลที่มีการตระเตรียมการเพื่อกระทำผิดกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 209 “ผู้ใดเป็นสมาชิกของคณะบุคคลซึ่งปกปิดวิธีดำเนินการและมีความมุ่งหมายเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้นกระทำความผิดฐานเป็นอั้งยี่ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี และปรับไม่เกิน 140,000 บาท” ซึ่งภายในวันศุกร์นี้ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ได้มีการเชิญประชุมคณะพนักงานสอบสวน เพื่อติดตามรายงานความคืบหน้ากรณีการรวบรวมพยานหลักฐาน ตามที่พนักงานสอบสวนได้รับมอบหมาย อาทิ การสอบสวนปากคำพยานบุคคล การตรวจสอบเส้นทางการเงินของบุคคลที่เกี่ยวข้องหลายร้อยคน ซึ่งปรากฏจากคำให้การของพยานปากสำคัญว่ามีจำนวนเงินที่ใช้ในการจัดฮั้วครั้งนี้ และมีบุคคลใดเกี่ยวข้องบ้าง อย่างไรก็ตาม การพิจารณาว่าบุคคลใดจะมีส่วนเกี่ยวข้องรับโอนเงิน-จ่ายเงินโดยตรง จะขึ้นอยู่กับพยานหลักฐานเส้นทางการเงิน ดังนั้น หากเส้นทางการเงินหรือนิติกรรมทางการเงินเชื่อมโยงระหว่างใครถึงใคร พนักงานสอบสวนก็จะพิจารณาดำเนินคดี ซึ่งในคดีอาญา ไม่สามารถที่จะเพ่งเล็งหรือกำหนดเป้าหมายไปที่บุคคลใดเป็นพิเศษได้ เนื่องจากต้องยึดตามพยานหลักฐานเส้นทางการเงินที่ปรากฏ ทั้งนี้ การสอบสวนดำเนินคดีฟอกเงิน-อั้งยี่ของดีเอสไอ จึงไม่จำเป็นต้องดำเนินคดีตามที่คณะอนุกรรมการสืบสวนและไต่สวนได้มีการดำเนินคดีกับใครไปบ้าง เนื่องจากเป็นการพิสูจน์ความผิดคนละฐาน

แหล่งข่าว เผยต่อว่า สำหรับวาระสำคัญในการประชุมติดตามความคืบหน้าที่พนักงานสอบสวนได้ไปดำเนินการนั้น หากมีพยานหลักฐานเรื่องเส้นทางการเงินปรากฏชัดเจน ก็อาจมีการพิจารณากำหนดกลุ่มและช่วงเวลาบุคคลกลุ่มแรกให้เข้ามารับทราบข้อกล่าวหาตามฐานความผิด และเพื่อให้บุคคลได้มีโอกาสชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาในพฤติการณ์นั้นๆ ได้ด้วย

แหล่งข่าว เผยอีกว่า ในส่วนของการใช้ AI วิเคราะห์และเชื่อมโยงหลักฐาน ก็เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินคดี โดยส่วนหนึ่งพบการกาบัตรเลือกตั้งมีลักษณะสอดคล้องกับโพยที่เชื่อว่ามีการนัดแนะกันมาก่อน ซึ่งจะต้องสอบสวนผู้วิเคราะห์ในการใช้ AI เป็นพยานผู้เชี่ยวชาญ เพื่อใช้เป็นพยานหลักฐานในสำนวนต่อไป.