บรรยากาศทางการเมืองกลับมาร้อนระอุอีกครั้ง ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย ว่า การกระทำแกนนำกลุ่มราษฎร นำโดยทนาย “อานนท์ นำภา” “ไมค์ ระยอง” ภาณุพงษ์ จาดนอก และ “รุ้ง” ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล เสนอปฏิรูปสถาบัน เข้าข่ายการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 48 พร้อมขอให้ทุกคนและองค์กรเครือข่าย ยกเลิกการกระทำดังกล่าว
โดยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญครั้งนี้ จะถูกนำไปตีความและมีผลผูกพันเชื่อมโยงไปอีกมากมายหลายองค์กรอย่างไรเป็นเรื่องที่น่าจับตาอย่างยิ่ง ทั้งในส่วนของเจ้าหน้าที่รัฐ กลุ่มผู้ชุมนุม และพรรคการเมืองต่าง ๆ เป็นต้น ที่สำคัญคือ พรรคก้าวไกล ที่ถูกเพ่งเล็งว่ามีส่วนสำคัญในการสนับสนุนการชุมนุมของกลุ่มต่าง ๆ ในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งได้มีการยื่นยุบพรรคไว้พร้อมสรรพแล้ว

ตลอดจนในประเด็นการแก้กฎหมายอาญามาตรา 112 ที่กำลังเป็นที่ถกเถียงทั้งในและนอกสภา ว่าจะเป็นการตอกฝาโลงปิดประตูตายในเรื่องนี้หรือไม่
ด้าน “ชัยธวัช ตุลาธน” เลขาธิการ พรรคก้าวไกล ยืนยันว่า ไม่กังวลต่อการยุบพรรค แต่ไม่ประมาท มีการเตรียมพร้อม และมองว่าสังคมไทยก็ต้องเตรียมตัวเช่นกัน ต้องไม่อนุญาตให้ยุบพรรคการเมืองด้วยเหตุจูงใจเป็นเรื่องปกติ เพราะถ้ากระบวนการยุติธรรมทางการเมืองยังเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าคิดว่าจะเป็นระเบิดลูกใหญ่ในอนาคตต่อสังคมไทย
อย่างไรก็ตามหลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยในประเด็นดังกล่าว ก็มีแรงโต้กลับจากกลุ่มผู้ชุมนุมทันที เมื่อ 8 แกนนำกลุ่มเครือข่ายเรียกร้องปฏิรูปสถาบัน นำโดย “รุ้ง” ปนัสยา พร้อมด้วยตัวแทนจากกลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตย กลุ่มทะลุฟ้า กลุ่มรณรงค์เพื่อรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน (ครช.) กลุ่มซัพพอร์ตเตอร์ไทยแลนด์ และกลุ่มศาลายาเพื่อประชาธิปไตย เป็นต้น ร่วมกันแถลงข่าวเปิดตัวในนาม “กลุ่มไม่เอาระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์” ประกาศเปิดหน้าท้าชนศาลรัฐธรรมนูญ ให้ทบทวนคำวินิจฉัย ยืนยัน 10 ข้อเรียกร้องปฏิรูปสถาบัน พร้อมนัดชุมนุมใหญ่ในบ่ายวันที่ 14 พ.ย.ที่ผ่านมา

ขณะที่การเมืองในสภา กำลังจะมีการพิจารณาร่างธรรมนูญฉบับประชาชน ที่เสนอโดย กลุ่ม Re-Solution ซึ่งมี “ไอติม” “นายพริษฐ์ วัชรสินธุ” เป็นหนึ่งในแกนนำ จ่อเข้าสู่การพิจารณาของสภาในวันที่ 16 พ.ย.นี้ โดยมีสาระสำคัญ คือ การล้ม 250 ส.ว.ให้ประเทศไทยกลายเป็นสภาเดี่ยว โละศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ เลิกยุทธศาสตร์ชาติและแผนปฏิรูปประเทศ ตลอดจนมรดกของรัฐประหาร เป็นต้น โดยมีกลุ่ม ส.ว.และพรรคการเมืองซีกรัฐบาลรอคว่ำร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้อยู่แล้ว
ดังนั้นก็เท่ากับการเมืองไทยจะยังคงมองไม่เห็นทางออกในระยะเวลาอันใกล้นี้แน่นอน ที่สำคัญหากมีการยุบพรรคก้าวไกลเกิดขึ้น ซึ่งอาจมีทั้งพรรคฝ่ายรัฐบาลและพรรคฝ่ายค้านด้วยกันเองได้ประโยชน์ แต่เชื่อแน่ว่าการเมืองบนท้องถนนจะทวีความร้อนแรงยิ่งขึ้นไม่ต่างจากเมื่อครั้งยุบ พรรคอนาคตใหม่ แน่นอน.