เมื่อเวลา 08.25 น. วันที่ 27 พ.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีศาลปกครองสูงสุดชี้แจงข้อกฎหมายคดี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ฟ้องขอเพิกถอนคำสั่งกระทรวงการคลัง ให้ชดใช้ค่าสินไหมโครงการจำนำข้าว 3.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งศาลปกครองไม่ได้สั่งให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จ่าย แต่เป็นการเพิกถอนคำสั่งกระทรวงคลังส่วนที่ให้จ่ายเกิน 10,028 ล้านบาทนั้น ว่า ถูกต้อง เรื่องนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นโจทก์ในการยื่นเรื่องเสนอศาลปกครอง เพราะเห็นว่าการกำหนดรายละเอียดงบประมาณต่างๆ ไม่มีความชัดเจน และเมื่อศาลฯ ได้ดูรายละเอียด และมีคำตัดสินออกมา จากต้องชดใช้ค่าสินไหมโครงการรับจำนำข้าวที่ 3.5 หมื่นล้านบาท เหลือเพียง 10,000 กว่าล้านบาท เนื่องจากคิดไม่ตรง และเกิดความผิดพลาด แต่ศาลไม่ได้สั่งบังคับว่าจะต้องไปจ่ายอะไร ซึ่งสิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า การคำนวณตัวเลขค่าใช้จ่าย มีความผิดพลาดตั้งแต่แรกที่กำหนดมา แสดงให้เห็นว่ามีปัญหา จึงมีช่องให้พิจารณา
นายภูมิธรรม กล่าวว่า นอกจากนี้สิ่งที่เป็นหลักฐาน ในยุคที่ตนเองเป็น รมว.พาณิชย์ และมีการตรวจสอบข้าว 10 ปี ซึ่งชี้ให้เห็นว่า ตนสามารถขายข้าวได้กิโลกรัมละ 18 บาท จึงเป็นคำถามว่าในช่วงก่อนหน้านี้ที่มีการขายข้าวในราคา 3-5 บาทต่อกิโลกรัม ก็ต้องไปพิสูจน์กันว่า ข้าวเสียได้อย่างไร ในเมื่อข้าว 10 ปี ยังขายได้ จึงสะท้อนให้เห็นว่า มีความคลาดเคลื่อนพอสมควรในวิธีบริหารจัดการ
นายภูมิธรรม กล่าวว่า เพราะฉะนั้นสิ่งที่ทำได้สำหรับคดีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ตอนนี้ ทนายความกำลังยื่นข้อมูล ซึ่งอาจจะนำหลักฐานจากที่ตนได้ดำเนินการ ไปประกอบให้ศาลฯ พิจารณาว่าเป็นข้อมูลใหม่ เพื่อพิจารณาหักลบค่าใช้จ่าย ซึ่งต้องว่าไปตามกระบวนการ ในขณะที่กระทรวงการคลัง ก็มีหน้าที่ในการกำหนดข้อมูลและฟ้อง ส่วนนายกรัฐมนตรี โดยตำแหน่งในฐานะที่มีปัญหาเกิดขึ้นภายในประเทศ ก็ต้องกำกับดูแล แต่ศาลฯ ไม่ได้สั่งให้นายกรัฐมนตรี หรือกระทรวงการคลังดูแล
เมื่อถามว่า การที่รัฐบาลขายข้าวไปก่อนหน้านี้ สามารถนำไปชดเชยกับค่าสินไหมทดแทนได้หรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า หากคิดตัวเลขผิด ยอดเรียกค่าเสียหายก็ไม่ถึง และช่วงหลังที่ขายข้าวได้ราคาดีกว่า ค่าเสียหายก็ต้องลดลงไปอีก ซึ่งจะเห็นได้ว่า ที่ศาลปกครองสูงสุดพิจารณาตัวเลขหายไป 20,000 กว่าล้านบาท
เมื่อถามว่า การขายข้าวที่อยู่ในราคา 3-5 บาท จะพิสูจน์ได้อย่างไรว่าขายต่ำกว่าราคา นายภูมิธรรม กล่าวว่า อยู่ในดุลพินิจของศาลที่จะมองประเด็นนี้อย่างไร หากถามว่า พิสูจน์ได้หรือไม่ว่าขายในราคาต่ำกว่า ก็ต้องดูว่าในอดีต สื่อมวลชนพยายามขอเข้าไปดูโกดังข้าว แต่ไม่ได้รับอนุญาต จึงต้องดูว่า ทนายความไปยื่นเรื่องในเงื่อนไขประเด็นใด
เมื่อถามว่า ตามหลักการแล้วเมื่อทนายความไปยื่นเรื่องร้องต่อศาลใหม่ ในฐานะนายกรัฐมนตรี และกระทรวงการคลัง ต้องรอให้ทุกอย่างจบกระบวนความก่อนดำเนินการใดๆ หรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า ต้องเห็นรายละเอียดทั้งหมดก่อน และมีเรื่องที่ต้องดำเนินการอยู่หรือไม่ ซึ่งตนมองว่า ต้องรอให้ครบกระบวนการทั้งหมดจะดีกว่า
นายภูมิธรรม กล่าวว่า จำไม่ได้ว่าตัวเลขขายข้าวจำนวน 18 ล้านตัน เป็นจำนวนเงินเท่าใด
เมื่อถามว่า เพราะเหตุใดผู้กระทำความผิดเรื่องเหมืองทองอัครา และเรือดำน้ำขาดเครื่องยนต์ ถึงไม่ต้องดำเนินการอะไร นายภูมิธรรม กล่าวว่า แม้จะเป็นหน้าที่ตน ก็ต้องดูก่อน ขณะนี้ตนยังไม่ตัดสินใจอะไร และต้องมีการชี้แจง ซึ่งผิดหรือไม่ก็ยังไม่รู้ เพราะศาลฯ ยังไม่ได้ตัดสิน แต่หากมองประเด็นเรื่อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นมาตรฐาน ก็เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง เพราะเป็นเรื่องเชิงนโยบาย หากผู้ที่ทำนโยบายตามที่ได้รับเลือกจากการเลือกตั้งมา และไปเอาผิดกับผู้คุมนโยบาย ก็มีหลายเรื่องที่สะท้อนให้เห็น เช่น คดีของตึกสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ก็มีความเกี่ยวข้อง
เมื่อถามว่า หลังจากนี้พรรคเพื่อไทยจะกล้าผลักดันนโยบายหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า เรามีความมั่นใจว่า นโยบายทุกอย่างผ่านการคิดและกลั่นกรอง และจะผลักดันอย่างเต็มที่ในแต่ละเงื่อนไข และสถานการณ์ที่มีความจำเป็นจะต้องปรับ แต่สิ่งที่เราแถลงนโยบายต่อรัฐสภา จะเป็นแนวในการปฏิบัติ หากจะติดขัดอะไรก็ต้องแสดงให้เห็นว่าเรามีความตั้งใจ และมีเหตุผลในการเปลี่ยน
เมื่อถามว่า ตามหลักการในฐานะเป็นผู้คุมนโยบาย หากทำให้เกิดความเสียหาย จะต้องมีส่วนในการชดใช้ หรือไม่ต้องรับผิดชอบ นายภูมิธรรม กล่าวว่า อยู่ที่ศาล หากระบุว่า การกำหนดนโยบายมีความไม่ชอบมาพากล หรือเจตนาแฝง อาจจะต้องรับผิดชอบ แต่กรณีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นความเสียหายในกระบวนการบังคับใช้ หรือการปฏิบัติเรื่องการระบายข้าว ก็ไม่ควรจะเกี่ยวกับผู้บริหาร หรือผู้คุมนโยบาย แต่ยอมรับว่า มันเกี่ยวพันกัน และมีกระบวนการคิดที่ไม่เหมือนกัน แต่เมื่อศาลพิจารณาแล้วก็ต้องเคารพดุลพินิจ ยกเว้นว่ามีข้อมูลใหม่ว่าการตัดสินนั้นอาจมีความคลาดเคลื่อน