เจค็อบ เออร์วิน-ไคลน์ หนุ่มนักลงทุนในตลาดคริปโตชาวอเมริกันวัย 30 ปี เผยประสบการณ์โดนมิจฉาชีพขโมยรหัสผ่านบัญชีการเงินออนไลน์จนสูญเงินราว 123,000 ดอลลาร์สหรัฐหรือประมาณ 4 ล้านบาทเศษ ระหว่างที่เขาแวะเที่ยวกรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร ก่อนจะไปพบกับครอบครัวที่ประเทศสเปน 

ระหว่างนั้น เออร์วิน-ไคลน์ออกท่องราตรีในย่านโซโห เขาเล่าว่าตัวเองตื่นขึ้นมาด้วยอาการมึนงงและเจอปัญหาใหญ่ทางการเงิน หลังจากที่เขาขึ้นรถที่เชื่อว่าเป็นรถที่เขาเรียกผ่านแอปพลิเคชันยอดนิยม ‘อูเบอร์’ ที่ด้านนอกไนต์คลับแห่งหนึ่ง เมื่อเวลาประมาณ 01.30 น. ของวันที่ 9 พฤษภาคมที่ผ่านมา 

เจค็อบ เออร์วิน-ไคลน์

“ผมสูญเงินคริปโตและทรัพย์สินไป 123,000 ดอลลาร์” เออร์วิน-ไคลน์ อดีตวิศวกรซอฟต์แวร์ กล่าวกับสำนักข่าวอังกฤษเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่น่าตกใจ “พวกเขาเอาเงินส่วนใหญ่ที่ผมมีไปหมด” 

นักลงทุนคริปโตรายนี้ยอมรับว่า เขาขึ้นรถโดยไม่ได้ตรวจสอบรุ่นหรือป้ายทะเบียนเสียก่อน หลังจากที่คนขับ “สุดชิล” ซึ่งดูเหมือนว่าจะตรงกับโปรไฟล์ของอูเบอร์เรียกชื่อเขาได้ถูกต้อง

จากนั้น หนุ่มจากเมืองพอร์ตแลนด์ผู้กำลังจะโชคร้ายก็รับบุหรี่จากคนขับมาสูบ ไม่นานนัก เขาก็เริ่มรู้สึกมึนงงและง่วงนอนผิดปกติ ต่อมาภายหลัง เขาแสดงความสงสัยว่าบุหรี่ดังกล่าวอาจจะผสมยาที่ออกฤทธิ์สงบประสาทที่เรียกว่าสโคโพลามีน 

“ผมจำได้ว่ารู้สึกเซื่องๆ ซึมๆ” เออร์วิน-ไคลน์เล่า และเสริมว่าเขาอยู่ในอาการกึ่งมึนงงกึ่งมีสติเมื่อเขายอมส่งโทรศัพท์มือถือและรหัสผ่านให้มิจฉาชีพที่ปลอมตัวเป็นคนขับรถซึ่งต่อมาก็พาเขามาทิ้งไว้ใน “ย่านแปลกๆ” ของลอนดอน ซ้ำยังขับรถชนเขา ก่อนที่จะขับรถหนีไปอย่างรวดเร็ว 

“ผมจำได้เลือนรางว่าผมกำลังเปิดแอปอยู่สองสามแอป เขาได้รหัสผ่านสองสามบัญชีจากผมเพื่อเข้าแอปพวกนั้น บุหรี่นั้นต้องมีส่วนผสมของยาบางอย่างอย่างแน่นอน ผมหมดสติไปประมาณ 20-30 นาที”

ชายหนุ่มเดินโซเซกลับไปที่โฮสเทลซึ่งเป็นที่พักของเขาโดยที่ไม่มีโทรศัพท์มือถือ จากนั้นก็พบว่าคอมพิวเตอร์แล็ปท็อปของเขาถูกคนอื่นเข้ามาลบข้อมูลออกจากระยะไกล และเขาโดนล็อกไม่ให้เข้าถึงบัญชีทางการเงินของตัวเอง

เมื่อเออร์วิน-ไคลน์ล็อกอินเข้าบัญชีของเขาได้อีกครั้ง เขาก็ต้องตกใจมากที่พบว่าเงินจำนวนมากหายไปจากบัญชี

เออร์วิน-ไคลน์เข้าแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจในลอนดอนแล้ว แต่เขาก็ยอมรับว่า คงจะเอาเงินที่ถูกขโมยไปกลับมาไม่ได้แล้ว

“แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะได้เงินคืน เว้นแต่จะมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น เช่น มีคนทลายขบวนการมิจฉาชีพนี้ได้แล้วคืนกระเป๋าเงินดิจิทัลเหล่านี้ให้เจ้าของ” เขายอมรับสภาพและแสดงความกังวลว่าอาจจะมีเหยื่อรายอื่นๆ อีก

“มันโคตรแย่เลย แต่ผมยังมีชีวิตอยู่ และพูดตามตรง ผมไม่ได้นึกดีใจกับเรื่องนั้นในตอนแรก แต่แน่นอนว่านั่นเป็นเรื่องที่สำคัญกว่า เงินน่ะ มาแล้วก็ไป มันแค่รู้สึกแปลกมาก ผมแค่เป็นห่วงว่า คนพวกนี้จะรอดตัวจากการหลอกคนแบบนี้ไปได้เรื่อยๆ เขาอาจจะหาเงินได้มากพอที่จะไม่ต้องทำแบบนี้อีกสักพัก”

ที่มา : nypost.com

เครดิตภาพ : GETTY IMAGES