เมื่อเวลา 09.40 น. วันที่ 31 พ.ค. ที่รัฐสภา นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการพิจารณางบประมาณของรัฐสภาสำหรับการปรับปรุงอาคารรัฐสภา ซึ่งมีฝ่ายค้านตั้งข้อสังเกตว่ามีการวางงบประมาณปรับปรุงที่ไม่มีการใช้จ่ายจริง ว่า หลังจากมีการอภิปรายเรื่องงบประมาณของรัฐสภา ซึ่งตามที่เป็นข่าว หลังจากนั้น ตนได้โทรศัพท์ติดต่อและนัดหมายนัดกับสส.ที่อภิปรายเรื่องนี้ คือ นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ และนายภัณฑิล น่วมเจิม สส.กทม. พรรคประชาชน โดยตอนแรกจะเป็นการเดินตรวจรัฐสภาตั้งแต่เมื่อวันที่ 30 พ.ค.ที่ผ่านมา แต่นายพริษฐ์บอกว่าไม่ว่าง ต้องเตรียมตัวอภิปราย ตนจึงบอกว่าไม่เป็นไร ให้เขาไปเตรียมตัวอภิปรายให้แล้วเสร็จ แล้วมานัดกันในวันนี้ (31 พ.ค.) แต่นายพริษฐ บอกว่า ไม่ว่างและไม่มา ส่วนนายภัณฑิลบอกว่าจะมา แต่ขณะนี้นายภัณฑิลก็บอกอีกว่าไม่มาแล้ว ซึ่งเท่ากับว่าทั้งสองคนไม่ได้มาแล้ว ตนจึงขอถามว่าจะต้องดำเนินการอย่างไร แต่หากทั้ง 2 คนต้องการดำเนินการผ่านช่องทางอื่นเพื่อร้องเรียน ตนก็ยินดี
รองประธานสภาฯ กล่าวอีกว่า การที่นายพริษฐ์ระบุว่าภายในสัปดาห์หน้าจะมีการลงพื้นที่ตรวจอาคารรัฐสภา ซึ่งตนก็จะรอ เพราะหากลงพื้นที่เอง ก็จะไม่มีข้อซักถามใด ๆ จึงรอให้ทั้งสองคน จะยื่นร้องช่องทางใดก็ยื่นไป แต่ถ้าหากไปดูสภาว่าใช้งบอย่างไร ก็เข้ามาดู ตนจะได้อธิบายว่าใช้งบอย่างไร ไม่ต้องเอาการเมืองเข้ามายุ่ง ตนยินดีให้ตรวจสอบทุกประเด็น ตนรอให้ทั้งสองคนมาดูถึงความจำเป็นของงบอาคารรัฐสภา
เมื่อถามว่ากรณีที่ทั้งสองคนได้ปฏิเสธในการมาตรวจอาคารสภามาสะท้อนอะไรหรือไม่ นายพิเชษฐ์ กล่าวว่า ตนไม่ทราบ คนเราต้องอยู่ความเป็นจริง ในเรื่องของงบสภา กว่าจะผ่านขึ้นมาเข้ามาอยู่ในเล่มงบประมาณฯ ปี 2569 ได้ ผ่านการกลั่นกรองหลายขั้นตอน และถูกตัดหลายขั้นตอน จนคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติมาเหลือเท่านี้ เราจำเป็นต้องดูแลสภาฯ ให้ดูดีและสมเกียรติ สมกับเป็นสถาบันนิติบัญญัติของประเทศ ตนยืนยันรับทุกเรื่องที่จะมีผู้ร้องเรียน และตรงนี้ก็เป็นเพียงงบประมาณเล็กๆ จำนวน 8,000 ล้านบาท ของสภา แต่หากมีความสนใจมากในเรื่องนี้ ตนก็ยินดี
เมื่อถามถึงการวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องของการโยกงบประมาณเอ นายพิเชษฐ์ กล่าวว่า ข้อกล่าวหาตั้งเองชงเอง โยกงบเอง ก็ไปคุยกันในรายละเอียด โดยเป็นการสืบสวนสอบสวนกันไป ไม่มีปัญหาอะไร เมื่อถามย้ำถึงความจำเป็นที่ต้องปรับปรุงอาคารรัฐสภา นายพิเชษฐ์ กล่าวว่า ตนไม่ทราบว่าเขาร้องเรียนในส่วนไหน แต่งบทุกอันมีเหตุผลทั้งหมด และการบริหารของเจ้าหน้าที่ก็ทำด้วยความรอบคอบ และตระหนักถึงความจำเป็น
นายพิเชษฐ์ กล่าวอีกว่า ตนขอขยายความที่ใช้คำว่างบประมาณเล็ก ๆ 8,000 ล้านบาท เนื่องจากหน่วยงานนิติบัญญัติเป็นเสาหลักของประเทศ ซึ่งเราก็ได้งบประมาณจำนวน 8,000 กว่าล้านบาท เมื่อเทียบกับกระทรวง ทบวง กรมอื่น ถือว่าน้อยมาก สำหรับการเผยแพร่ประชาธิปไตยที่ประชาชนเลือกมา ตนคิดว่ามันควรที่จะพร้อมกว่านี้ ที่จะเป็นปากและเป็นเสียงแทนประชาชน งบต่างๆ นั้น เพื่อความมั่นคง เพื่ออนาคตของฝ่ายนิติบัญญัติ ตนขอย้ำว่าจะไม่มีการชี้แจงหากมีการยื่นร้องเรียน เพราะว่าสภาไม่เหมือนกระทรวง ทบวง กรมอื่น เพราะไม่มีรัฐมนตรี ฉะนั้นใครจะมาชี้แจงแทนเจ้าหน้าที่ที่ทำงาน เพราะเจ้าหน้าที่ก็ไม่สามารถที่จะมาตอบโต้ได้ หากไม่มีการชี้แจงสภาก็เสียหาย บุคคลในสภาก็เสียหาย เพราะเป็นการกล่าวหาฝ่ายเดียวโดยเป็นความไม่เข้าใจ จนเป็นข่าวออกสื่อไป และทำให้ฝ่ายนิติบัญญัติเสียหาย ตนในฐานะเป็นผู้บริหารอยู่ตรงนี้ ก็จะพยายามทำเข้าใจกับสมาชิกตามที่ทำได้
เมื่อถามย้ำว่ากรณีมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่านายพิเชษฐ์ ออกตัวแรงเกินไปในการทำหน้าที่ประธาน นายพิเชษฐ์ กล่าวว่า เพราะถ้าไม่พูด สภาเสียหาย จะให้ไปตอบที่ไหน จะลงไปอยู่ข้างล่างในฐานะสมาชิกมันไม่มีที่จะพูดคุย ก็ไม่เป็นไร จะไปยื่นที่ไหนก็ไป ตนก็พร้อมที่จะไปตอบทุกที่
เมื่อถามอีกว่าภาพรวมกระบวนการทั้งหมดตามไทม์ไลน์ ต้องทำอย่างไรบ้างในงบ 8,000 ล้านบาท นี้ นายพิเชษฐ์ กล่าวว่า ถ้าร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯ ปี 2569 ผ่านความเห็นชอบจากสภาฯ วาระ 1-3 ก็จะเริ่มใช้งบประมาณฯปี 2569 ได้ในเดือนต.ค.2568 ส่วนในเรื่องของกรอบระยะเวลานั้น ก็ยาวไปจนถึงเดือนก.ย. ปี 2569