เมื่อวันที่ 5 มิ.ย.สำนักข่าวต่างประเทศ ได้เปิดเผยเรื่องราวของ ลูซี่ ปาร์คเกอร์ คุณแม่ลูกสองวัย 35 ปี ซึ่งอาศัยอยู่ที่ออสเตรเลีย เผยว่าเธอเคยดื่มเครื่องดื่มชูกำลังแทบทุกเช้าตลอด 15 ปีที่ผ่านมา โดยเริ่มจากหนึ่งกระป๋องหลังตื่นนอน และตามด้วยอีกสองกระป๋องก่อนเที่ยง เพราะไม่ชอบเครื่องดื่มร้อนอย่างกาแฟหรือชา
แม้จะรู้ว่าเครื่องดื่มเหล่านี้ “ไม่ดีต่อสุขภาพ” แต่เธอก็ไม่เคยตระหนักถึงผลกระทบอย่างแท้จริง จนกระทั่งวันหนึ่งเธอมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง และต้องเข้ารับการตรวจ CT scan ซึ่งเผยให้เห็นก้อนเนื้อบริเวณรังไข่ แต่สิ่งที่แพทย์กังวลจริง ๆ กลับเป็นตับของเธอที่ดู “ไม่แข็งแรง”
แพทย์ระบุว่าเธออาจเป็นโรคไขมันพอกตับที่ไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์ (NAFLD) ซึ่งเกิดจากการสะสมไขมันในตับ หากปล่อยไว้โดยไม่รักษา อาจนำไปสู่โรคตับแข็ง เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือโรคไตได้ในอนาคต
ลูซี่ซึ่งไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ และไม่ใช้ยาเสพติด ถึงกับตกใจ และเริ่มย้อนกลับไปคิดถึงพฤติกรรมประจำวัน เธอยอมรับกับแพทย์ว่าเธอใช้เครื่องดื่มชูกำลังเป็นเครื่องกระตุ้นตอนเช้าแทนกาแฟ ซึ่งต่อมาทำให้เธอรู้ว่าตนติดเครื่องดื่มนี้มานานเกินไป
เธอเปิดเผยว่าเธอป่วยเป็นโรคสมาธิสั้น (ADHD) และไม่ใช้ยาใด ๆ จึงหันไปใช้เครื่องดื่มชูกำลังเพื่อกระตุ้นโดพามีนในสมองให้รู้สึกตื่นตัว สดชื่น และมีสมาธิ อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมนี้ได้ทำร้ายตับของเธอโดยไม่รู้ตัว
หลังทราบข่าวร้าย ลูซี่ตัดสินใจ “เลิกทันที” หรือ cold turkey และไม่แตะเครื่องดื่มชูกำลังอีกเลย ผลการตรวจสุขภาพครั้งต่อมาเผยว่าตับของเธอดีขึ้นมาก ไม่มีพังผืด และไขมันที่สะสมในตับสามารถย้อนกลับได้
เธอสารภาพว่าเคยพยายามเลิกหลายครั้งแต่ล้มเหลว จนกระทั่งเหตุการณ์นี้กลายเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้เธอเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างถาวร
ลูซี่เริ่มแบ่งปันประสบการณ์ผ่าน TikTok (@abundantlylucy) เพื่อให้ตัวเองมีความรับผิดชอบ และใช้โอกาสนี้เรียนรู้วิธีดูแลสุขภาพในระยะยาว
เธอฝากถึงคนที่อาจอยู่ในสถานการณ์เดียวกันว่า “ไปตรวจเลือด ตรวจตับ และดูว่าเครื่องดื่มเหล่านี้ส่งผลอะไรต่อร่างกายหรือไม่ ทุกอย่างควรอยู่ในความพอดี เพราะคุณอาจไม่รู้เลยว่ามันกำลังทำร้ายคุณอยู่”