สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงเตหะราน ประเทศอิหร่าน เมื่อวันที่ 14 มิ.ย. ว่าการพัฒนาโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านเริ่มต้นขึ้นเมื่อช่วงทศวรรษ 1950 ภายใต้โครงการ “ปรมาณูเพื่อสันติ” หรือ “Atoms for Peace” ของสหรัฐ ที่ช่วยให้อิหร่านสร้างรากฐานด้านเทคโนโลยีนิวเคลียร์ โดยในเวลานั้น อิหร่านอยู่ภายใต้การปกครองของพระเจ้าชาห์ ซึ่งทรงมีความเป็นมิตรกับตะวันตก และสหรัฐกับอิหร่านยังคงมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน


อิหร่านก่อตั้งองค์การพลังงานปรมาณู ( เออีโอไอ ) เมื่อปี 2517 พร้อมวางแผนสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ 20 แห่ง เพื่อผลิตกำลังไฟฟ้ารวม 23,000 เมกะวัตต์ ภายในกลางปี 2543


อย่างไรก็ตาม การปฏิวัติอิหร่านเมื่อปี 2522 ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐกับอิหร่านขาดสะบั้น รัฐบาลวอชิงตันยุติความสนับสนุนทั้งหมดในโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน แม้รัฐบาลเตหะรานร่วมเป็นภาคีและให้สัตยาบันกับสนธิสัญญาไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ ( เอ็นพีที ) ในปีนั้นก็ตาม


ยิ่งไปว่านั้น อยาตอลเลาะห์ รูฮัลเลาะห์ โคไมนี ผู้นำสูงสุดของอิหร่านในเวลานั้น กล่าวว่า โครงการนิวเคลียร์ของประเทศ “ไม่สอดคล้องกับหลักศาสนา” แต่ปรับเปลี่ยนจุดยืนในอีกหลายปีต่อมา


นับจากนั้น อิหร่านพยายามเดินหน้าพัฒนาโครงการนิวเคลียร์ โดยได้รับความสนับสนุนจากจีนและปากีสถาน ท่ามกลางการจับตาอย่างใกล้ชิดและขัดขวางอย่างหนักของตะวันตก จนกระทั่งเริ่มมีหลักฐานว่า ในช่วงปลายทศวรรษที่ 1980 อิหร่านได้รับแบบและอุปกรณ์เครื่องหมุนเหวี่ยง จากเครือข่ายใต้ดินของ “อา.คิว.คาน” ซึ่งเป็นกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ในปากีสถาน


อิหร่านยังคงเดินหน้าพัฒนาโครงการนิวเคลียร์ของตัวเองต่อไป จนกระทั่งมีโครงการนิวเคลียร์เชิงทหารชื่อ “อามัด” ( Amad ) ซึ่งเนื้อหาของโครงการรวมถึง แผนการผลิตวัสดุอาวุธและทดสอบส่วนประกอบหัวรบนิวเคลียร์ แต่โครงการดังกล่าวหยุดชะงัก เมื่อปี 2546


รัฐบาลอิหร่านมาตลอด ยืนยันว่าโครงการนิวเคลียร์ของประเทศ เป็นไปเพื่อผลประโยชน์ทางสาธารณูปโภคและการวิจัยทางวิทยาศาสตร์เท่านั้น โดยจะใช้ผลิตไฟฟ้าและวัสดุเพื่อการแพทย์ และการพัฒนาอุตสาหกรรม

ภาพถ่ายจากดาวเทียมของสหรัฐ แสดงตำแหน่งที่ตั้งของโรงงานนิวเคลียร์ฟอร์โดว์ ซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองโกม ในจังหวัดโกม ทางตอนเหนือของอิหร่าน


ปัจจุบัน อิหร่านมีโรงงานหรือศูนย์ปฏิบัติการหลายแห่ง ที่เกี่ยวข้องกับการเสริมสมรรถนะยูเรเนียมและการผลิตวัสดุนิวเคลียร์ โดยโรงงานที่สำคัญ คือ โรงงานนาทานซ์ ( Natanz ) และ ฟอร์โดว์ ( Fordow ) ซึ่งภายในโรงงานทั้งสองแห่งมีการติดตั้งเครื่องหมุนเหวี่ยง ที่ใช้ผลิตเชื้อเพลิงสำหรับอาวุธนิวเคลียร์มากมายหลายรุ่น และมีจำนวนหลายพันเครื่อง


นอกจากนี้ ยังมีเตาปฏิกรณ์น้ำมวลหนัก ที่ศูนย์นิวเคลียร์อารัก ( Arak ) ซึ่งเดิมทีได้รับการออกแบบมาเพื่อผลิตพลูโทเนียม แต่มีการปรับโครงสร้างใหม่ให้กับอุปกรณ์ โดยตัดแกนเดิมออก และห้ามการแปรสภาพเชื้อเพลิง ตามเงื่อนไขของข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน ฉบับปี 2558


ส่วนโรงงานนิวเคลียร์ บูเชห์ ( Bushehr ) เป็นโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์เชิงพาณิชย์ ที่อิหร่านก่อสร้างตามโครงการความร่วมมือกับรัสเซีย เปิดทำการเมื่อปี 2554 โดยใช้เชื้อเพลิงยูเรเนียมผสม 3% เป็นหลัก


แม้มีข้อตกลงนิวเคลียร์ และความพยายามเจรจาร่วมกับสหรัฐ ซึ่งถอนตัวออกจากข้อตกลงดังกล่าวฝ่ายเดียว เมื่อปี 2561 แล้วกลับมาใช้มาตรการคว่ำบาตรต่ออิหร่าน อย่างไรก็ตาม โครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านยังคงเป็นที่ถกเถียงและจับตาจากหลายฝ่ายจนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะประเด็นเกี่ยวกับ “กระบวนการเสริมสมรรถนะยูเรเนียม” ซึ่งโดยปกติเป็นขั้นตอนที่ใช้ผลิตเชื้อเพลิงสำหรับโรงไฟฟ้า แต่หากมีการเสริมสมรรถนะในระดับที่สูงขึ้น ก็สามารถนำไปใช้ผลิตระเบิดนิวเคลียร์ได้เช่นกัน


ในช่วงต้นทศวรรษ 2000 คณะผู้ตรวจสอบจากนานาชาติตรวจพบ ร่องรอยของยูเรเนียมเสริมสมรรถนะสูง ภายในโรงงานนิวเคลียร์นาทานซ์ อิหร่านยอมระงับกระบวนการทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับเสริมสมรรถนะยูเรเนียม แต่กลับมาดำเนินการอีกครั้ง เมื่อปี 2549 โดยยืนกรานว่า “เป็นความชอบธรรม” ภายใต้ข้อตกลงกับทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ ( ไอเออีเอ ) ของสหประชาชาติ ( ยูเอ็น ) ทว่าความเคลื่อนไหวครั้งนี้ของอิหร่าน นำไปสู่การถูกคว่ำบาตรนานหลายปีจากประชาคมระหว่างประเทศ


สำหรับข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน ซึ่งรัฐบาลเตหะรานลงนามร่วมกับกลุ่ม “พี 5+1” ได้แก่ สมาชิกถาวร 5 ประเทศของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ( ยูเอ็นเอสซี ) ได้แก่ สหรัฐ รัสเซีย จีน สหราชอาณาจักร และฝรั่งเศส รวมด้วยเยอรมนี เมื่อปี 2558 มีเป้าหมายสำคัญ เพื่อบรรเทาคุกคามจากโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน แลกกับการที่นานาชาติผ่อนปรนมาตรการคว่ำบาตรบางส่วนให้กับอิหร่าน

โรงไฟฟ้าบูเชห์ ในจังหวัดบูเชห์ ทางตอนใต้ของอิหร่าน


ภายใต้ข้อตกลงดังกล่าว อิหร่านต้องจำกัดระดับการเสริมสมรรถนะยูเรเนียมไม่เกิน 3.67% จากเดิมที่เคยสูงถึงเกือบ 20% ลดปริมาณยูเรเนียมสำรองลงอย่างมาก และทยอยลดจำนวนเครื่องหมุนเหวี่ยง ตลอดจนเงื่อนไขอื่นอีกมากมาย โดยไอเออีเอคอยสังเกตการณ์และตรวจสอบอย่างใกล้ชิด


อนึ่ง ยูเรเนียมเป็นวัตถุดิบซึ่งจะสามารถใช้ผลิตระเบิดนิวเคลียร์ได้ เมื่อผ่านการเสริมสมรรถนะจนถึงความบริสุทธิ์ 90% ขึ้นไป ส่วนโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้า ใช้ยูเรเนียมที่มีระดับการเสริมสมรรถนะเพียง 3.5% ถึง 5% เท่านั้น.

เครดิตภาพ : GETTY IMAGES