นายดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด (ปณท) เปิดเผยว่า ไปรษณีย์ไทยได้ลงทุนเพิ่ม 1,000 ล้านบาทในปีนี้ เพื่อวางระบบอัตโนมัติในศูนย์กระจายสินค้าทั่วประเทศ 19 แห่ง โดยเฉพาะศูนย์ราชบุรี ที่ออกแบบให้รองรับการกระจายพัสดุภาคตะวันตกและภาคใต้โดยไม่ต้องผ่านกรุงเทพฯ ลดการแออัดในศูนย์กลาง และยังประหยัดต้นทุน ทั้งดำเนินการโหลดบาลานซ์กระจายพัสดุและพัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัย ทำให้การคัดแยกพัสดุกว่า 240,000 ชิ้นต่อวัน มีประสิทธิภาพสูงขึ้น โดยปัจจุบันพอร์ตธุรกิจของบริษัทประกอบด้วยรายได้จากการส่งโลจิสติกส์ประมาณ 45% ขณะที่กลุ่มรีเทลมีสัดส่วนประมาณ 5% ส่วนที่เหลือเป็นบริการอื่น เช่น ฟูลฟิลเมนต์ในศูนย์คลังสินค้า 9 แห่งทั่วประเทศ และบริการแฟรนไชส์ร้านไปรษณีย์ในพื้นที่ห่างไกล เป็นต้น

นอกจากนี้ยังได้ตั้งหน่วยธุรกิจใหม่ คือ เฮลโลแคร์ ลอจิสติกส์ เพื่อรองรับการขนส่งเวชภัณฑ์แบบมืออาชีพ พร้อมมาตรฐาน จีเอสพี และ จีดีพี โดยเริ่มทดลองร่วมกับโรงพยาบาลสัตว์ ของ จุฬาฯ  โดยมองว่า ตลาดนี้จะเติบโตต่อเนื่องจากพฤติกรรมเจ้าของสัตว์เลี้ยงที่ยอมจ่ายเพื่อดูแลสัตว์เสมือนคนในครอบครัว ซึ่งเปิดโอกาสให้ธุรกิจต่อยอดสู่การจัดส่งอาหารสัตว์และสินค้าที่เกี่ยวข้องได้ แม้ว่าปริมาณพัสดุจากกลุ่มนี้ยังไม่มากเท่าอีคอมเมิร์ซ แต่มีอัตราเติบโตสูง และมีความเสี่ยงต่ำ เพราะลูกค้ามาจากหลายแหล่ง ไม่ต้องพึ่งแพลตฟอร์มเพียงไม่กี่ราย และยังสามารถสร้างแบรนด์และความสัมพันธ์กับลูกค้าได้โดยตรง

นายดนันท์ กล่าวต่อว่า สำหรับในปัจจุบัน ธุรกิจอีคอมเมิร์ซภาพรวมเติบโตแบบชะลอตัว และแพลตฟอร์มกลายเป็นตัวกลางควบคุมระบบการขนส่ง ทำให้ไปรษณีย์ไทยประสบความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของปริมาณงานและจำนวนพัสดุที่ผันผวนสูง เช่น การที่แพลตฟอร์มสามารถเปลี่ยนผู้ให้บริการขนส่งได้อัตโนมัติเมื่อเจอราคาถูกกว่า ส่งผลต่อปริมาณงานและต้นทุนคงที่ของบริษัท ทั้งนี้ เพื่อลดการพึ่งพาแพลตฟอร์ม ไปรษณีย์ไทยหันมาบริหารพอร์ตลูกค้าใหม่ เน้นกลุ่มลูกค้าทั่วไปที่มีความผันผวนต่ำ และเริ่มพัฒนาธุรกิจเฉพาะทาง หรือการขนส่งเฉพาะทาง โดยเฉพาะการส่งเวชภัณฑ์ทั้งของมนุษย์และสัตว์เลี้ยง ที่ต้องการกระบวนการจัดการละเอียด เช่น การยืนยันตัวตนผู้รับยา การควบคุมอุณหภูมิ และการส่งตรงถึงบ้านภายในวันเดียวกัน เป็นต้น