สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 23 มิ.ย. ว่า ช่องแคบฮอร์มุซ (Strait of Hormuz) ตั้งอยู่ระหว่างโอมานกับอิหร่าน เชื่อมต่อทางเหนือของอ่าวเปอร์เซีย กับอ่าวโอมาน และทะเลอาหรับที่อยู่ไกลออกไป จุดซึ่งแคบที่สุดของช่องแคบฮอร์มุซ มีความกว้าง 33 กิโลเมตร และช่องเดินเรือมีความกว้างเพียง 3 กิโลเมตร

ความสำคัญ

ข้อมูลจากบริษัทวิเคราะห์ด้านพลังงาน “วอร์เท็กซา” (Vortexa) ระบุว่า ระหว่างต้นปี 2565 จนถึงเดือน พ.ค. ปีนี้ มีการลำเลียงน้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติเหลว และเชื้อเพลิง ผ่านช่องแคบฮอร์มุซ ประมาณ 17.8-20.8 ล้านบาร์เรลต่อวัน โดยช่องแคบแห่งนี้ เป็นเส้นทางหลักในการส่งออกน้ำมันไปยังเอเชีย ของบรรดาประเทศสมาชิกองค์การกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก)

ขณะที่กองทัพเรือสหรัฐ มีฐานปฏิบัติการของกองเรือที่ 5 ตั้งอยู่ในบาห์เรน จึงมีหน้าที่คุ้มครองความปลอดภัยให้กับการเดินเรือพาณิชย์ในบริเวณนี้โดยปริยาย

ผลกระทบ

การปิดช่องแคบฮอร์มุซ จะเป็นการเพิ่มแรงกดดันโดยตรงไปยังทรัมป์ เนื่องจากราคาน้ำมันโลกจะพุ่งสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อเงินเฟ้อในสหรัฐและทั่วโลกภายในเวลาอันรวดเร็ว

ในทางกลับกัน ก็อาจเป็นการ “ทำร้ายตัวเอง” อย่างรุนแรงของอิหร่าน เนื่องจากน้ำมันทั้งหมดของอิหร่าน ต้องขนส่งผ่านช่องแคบฮอร์มุซ หากมีการใช้มาตรการปิดช่องแคบจริง หรือแม้เพียงจำกัดการเดินเรือ จะกลายเป็นการนำประเทศอื่นในภูมิภาคเข้าสู่สงครามไปด้วย อีกทั้งจีนจะได้รับผลกระทบอย่างหนัก ในฐานะประเทศผู้ซื้อน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของอิหร่าน ด้วยสัดส่วนสูงถึง 90%

ท่าทีของอิหร่าน

สำนักข่าวของเพรส ทีวี ของอิหร่าน รายงานว่า สภาที่ปรึกษาอิสลาม หรือสภาผู้แทนราษฎรอิหร่าน มีมติเห็นชอบการปิดช่องแคบฮอร์มุซ แต่ยังต้องรอความเห็นขอบจากสภาความมั่นคงสูงสุดแห่งชาติ และอยาตอลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน เพื่อให้มาตรการมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ

ขณะที่นายอับบาส อารักชี รมว.การต่างประเทศอิหร่าน ส่งสัญญาณเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยขู่ว่า สหรัฐจะต้องเผชิญกับ “ผลกระทบอย่างไม่มีที่สิ้นสุด” ขณะที่คาเมเนอีประณามอิสราเอล และยืนยันว่า ผู้ที่โจมตีอิหร่าน “ต้องเผชิญกับบทลงโทษ” ทว่าไม่ได้เอ่ยอย่างตรงไปตรงมาถึงช่องแคบฮอร์มุซ.

เครดิตภาพ : AFP