เมื่อวันที่ 18 พ.ย.ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องเรียนจากชาวบ้าน ต.สูงเนิน อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์ ว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจากบริษัทประกัน ที่พยายามเบี้ยวการจ่ายเงินสินไหมทดแทน และอยากให้ผู้ใจบุญมาช่วยเดินเรื่อง เพราะเป็นชาวนา

เมื่อผู้สื่อข่าวเดินทางไปถึงที่ บ้านเลขที่ 127 หมู่ 9 บ้านพลวง ต.สูงเนิน อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์ พบ นางสมเร็จ อายุ 56 ปี นำภาพของ น.ส.พัชราภา หรือ น้องหญิง ลูกสาววัย 21 ปี นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ สาขานิติศาสตร์ ปีที่ 4 ที่เสียชีวิตจากการถูกรถเบนซ์ชนท้ายรถจักรยานยนต์ เมื่อวันที่ 1 พ.ค. 64 ที่ผ่านมา ระหว่างขี่รถจักรยานยนต์เพื่อกลับบ้าน

โดยนางสมเร็จ หัวอกแม่ นั่งร่ำไห้กอดภาพลูกสาว ที่จากไปด้วยความอาลัย พร้อมกับระบายความในใจว่า ลูกสาวรักแม่มาก ฝันอยากเป็นอัยการ แต่ไม่คิดว่า ความฝันของลูกต้องจบลง และจะมาอายุสั้นขนาดนี้

นายสมชาย อายุ 56 ปี พ่อน้องหญิง เล่าว่า วันเกิดเหตุทราบเพียงว่ามีรถเก๋งมาชนท้ายลูกสาว เมื่อไปดูพบว่าเป็นรถเบนซ์มาชนท้ายรถจักรยานยนต์ของลูกสาว รักษาตัวที่โรงพยาบาลกระสัง และเสียชีวิตในเวลาต่อมา ตอนนั้นตนและภรรยาอยู่ในอาการเศร้า รู้เพียงว่าคนขับรถเป็นผู้หญิง รับสารภาพว่าขับรถประมาทจึงไปชนท้ายรถลูกสาว และยังเอาเงินมาช่วยจัดงานศพจำนวนเงิน 100,000 บาท ส่วนเงินเยียวยาอื่นๆ คนขับรถบอกว่า รถมีประกันชั้น 1 น่าจะได้รับส่วนต่างอีกนอกจากนี้

ต่อมาพนักงานสอบสวน สภ.กระสัง อ.กระสัง ได้ส่งเรื่องฟ้องศาลจังหวัดบุรีรัมย์ กระทั่งศาลชั้นต้นจังหวัดบุรีรัมย์ ตัดสินว่าคนขับรถเป็นฝ่ายประมาท ซึ่งตามแนวทางแล้วบริษัทประกันจะต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทน ตามเงินที่เอาประกันคือ 2.5 ล้านบาท ต่อมาสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ส่วนกลาง มีความเห็นควรให้บริษัทประกันภัย ดำเนินการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ทายาทตามเงื่อนไขกรมธรรม์ภาคบังคับและภาคสมัครใจ รวมเป็นเงิน 2,500,000 ภายใน 7 วัน ตั้งแต่วันที่ 15 กันยายน 2564

แต่มาถึงตอนนี้ครอบครัวยังไม่ได้รับเงินชดเชยแม้แต่บาทเดียว นายสมชาย เล่าด้วยว่า หลังจากบริษัทประกันปฏิเสธการจ่าย อ้างว่าผู้ขับรถเบนซ์ มิได้เป็นฝ่ายการประมาทแต่อย่างใด และให้ตนไปฟ้องร้องต่อศาลต่อไปอีก ยอมรับว่าครอบครัวไม่มีปัญญา เพราะเงินค่าทำศพต้องไปกู้ยืมเงินเขามา ยังต้องส่งดอกมาจนถึงปัจจุบัน จึงอยากจะเรียกร้องให้ผู้รู้กฎหมาย มาช่วยเหลือเพราะครอบครัวไม่มีทางออก