นายพิสุทธิ์ งามวิจิตวงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย เปิดเผยว่า การควบรวมระหว่าง บมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น หรือ ดีแทค และ บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น หรือ ทรู โดยตั้งเป็นบริษัทใหม่ ซึ่งได้กำหนด สัดส่วนแลกหุ้นและการตั้งโต๊ะรับซื้อหุ้นคืนทั้งหมด (เทนเดอร์ฯ) ทั้งนี้ยังมีขั้นตอนการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้ง กสทช. กระทรวงพาณิชย์ จึงคาดว่าจะใช้เวลาเทนเดอร์ ช่วงกลางปี 65 หรือครึ่งหลังปี 65 ขณะที่ดีลการควบรวมคาดจะแล้วเสร็จเป็นเวลา 2 ปี จากการต้องดำเนินการควบรวมตามขั้นตอนต่างๆ ใช้เวลา 1 ปี และอีก 1 ปี ในการนำทรัพย์สินรวมกัน เพื่อสร้างแบรนด์ใหม่เพื่อลดต้นทุนต่างๆ

“หลังประกาศการควบรวมของสองบริษัท เชื่อว่าราคาหุ้นจะวิ่งเข้าหาราคาเทนเดอร์ก่อน หลังจากนั้นต้องมาดูมูลค่าที่หลังเกิดการควบรวมเสร็จสิ้น และเชื่อว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้น เพราะตลาดจากที่เคยมีผู้เล่น 3 ราย เหลือ 2 ราย”

ทั้งนี้ ต้องจับตา กสชท.จะมีการออกกฎเพื่อมาดูแลไม่ให้ผู้เล่นในตลาดที่ในอนาคตจะเหลือแค่ 2 ราย มีอำนาจเหนือผู้บริโภค แต่เชื่อว่าหลังจากที่เหลือผู้เล่นในตลาด 2 ราย การแข่งขันคงไม่รุ่นแรงเหมือนในอดีต คงไม่เกิดการโค่น เพื่อชิงส่วนแบ่งการตลาด เพราะจากนี้ไปส่วนแบ่งการตลาดทั้งสองรายจะใกล้เคียงกัน ขณะที่ความต้องการใช้งานอินเทอร์เน็ตกันจำนวนมาก

“การควบรวมครั้งนี้ยังถือว่าไม่ผูกขาด แต่มีผู้เล่นน้อยลง แต่ กสทช.คงต้องมาดูเพื่อไม่ให้ผู้เล่นมาเอาเปรียบผู้บริโภค ขณะที่ดูส่วนแบ่งการตลาดแล้ว ทั้งสองรายไม่แตกต่างกันมากนักจึงไม่เชื่อว่าที่เหลือจะมีการโค่นกัน หรือการแข่งขันกันที่รุนแรงเหมือนในอดีต ส่วนการประหยัด มีทั้งต้นทุนดำเนินงาน ทั้งพนักงาน อำนาจต่อรอง ซัพพลายเออร์และการประมูลคลื่นที่ถูกลง ราคาคลื่นถูกลง งบลงทุนก็ลดลง”

อย่างไรก็ตาม การควบรวมครั้งนี้มองว่าดีต่อภาพรวมอุตสาหกรรม และทำให้ผลตอบแทนจากการลงทุนในอดีตจะดีขึ้นเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการ ในส่วนผู้ใช้บริการ จะได้บริการที่ดีขึ้น เนื่องจากจำนวนคลื่นความถี่สองรายที่รวมกัน

รายงานข่าวจาก บล.โนมูระพัฒนสิน กล่าวว่า การประกาศควบรวมระหว่างทรูและดีแทค ในระดับบริษัทจะได้ประโยชน์ในเชิงโครงสร้างที่แข็งแกร่งขึ้นทั้ง ส่วนแบ่งการตลาดและคลื่นความถี่สั้น-กลางจะขยับเป็นเบอร์หนึ่ง ทำให้บริษัทใหม่มีข้อได้เปรียบในการลดต้นทุนได้ง่ายขึ้น ส่วนระดับอุตสาหกรรม ส่งผลให้ผู้เล่นในตลาดลดลงผลักดันแนวโน้มการแข่งขันด้านราคาทั้งการออกโปรโมชั่นหรือการประมูลคลื่นในอนาคตจะลดลง

นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า กล่าวว่า จากข่าวทรู-ดีแทค แนะนำกลุ่มนักลงทุนออกเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มถือหุ้นระยะยาว ควรถือลงทุนต่อ เพราะภาพรวมอุตสาหกรรมสื่อสารยังเติบโตดี เนื่องจากเป็นการเปลี่ยนแปลงโอปเรเตอร์ระบบมือถือครั้งใหญ่ อย่างน้อยต้นทุนของระบบมือถือ หรือการใช้สินทรัพย์ของทั้งอุตสาหกรรมจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น จากก่อนหน้านี้ที่อาจแข่งขันกันเรื่องการตั้งเสา ซึ่งคาดว่าจะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการใช้คลื่นได้ดีมากขึ้น

ส่วนนักลงทุนที่เก็งกำไรระยะสั้น หากมีกำไรควรขายทำกำไรออกมา เนื่องจากกระบวนการควบรวมดังกล่าวต้องใช้ระยะเวลา โดยแนะนำคนที่ถือหุ้นทั้ง 2 ตัวอยู่ รอขายเมื่อราคาใกล้จุดทำเทนเดอร์ ออฟเฟอร์โดยราคาเทนเดอร์ฯหุ้นดีแทค อยู่ที่ 47.76 บาท และราคาทรู อยู่ที่ราคา 5.09 บาท และนักลงทุนที่ไม่มีหุ้นทั้ง 2 ตัว แต่อยากเข้าเก็งกำไรหุ้นดังกล่าว แนะนำให้ชะลอดูความคืบหน้าการควบรวมก่อน เนื่องจากปัจจุบันราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างจำกัด เมื่อเทียบกับราคาเทนเดอร์ฯแล้ว