เมื่อวันที่ 24 พ.ย. นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกรัฐมนตรี ในสมัยรัฐบาล “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ได้โพสต์ข้อความระบุว่า พวกหัวก้าวหน้า (พวกเกลียดของเก่า) VS #พวกสลิ่ม (พวกรักของเก่า)

การปะทะกันทางความคิดระหว่างพวกที่เรียกตัวเองว่าเป็นพวกหัวก้าวหน้าเพราะเป็นพวกเกลียดชังของเก่าๆ ไม่ว่าจะเป็นสถาบันต่างๆ วัฒนธรรม จารีตประเพณี อยากยกเลิกเสียให้สิ้น ต้องการเปลี่ยนแปลงทุกอย่างไปสู่ “ความเป็นของใหม่” และมักจะนิยมใช้ความรุนแรงกับพวกที่ยังรักของเก่าอยู่ (และยังไม่ต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรๆ ด้วยความรวดเร็วบนความไม่แน่นอนของอนาคต) การปะทะกันของทั้งสองฝ่ายมีทั้งวาทกรรมและการใช้กำลังเข้าทำร้ายกันและกัน ส่วนผลลัพธ์ออกมาเป็นอย่างไร เราสามารถตรวจสอบทางประวัติศาสตร์ของโลกได้ ดังจะขอยกตัวอย่างให้ดูพอเป็นสังเขปดังต่อไปนี้

1) ประเทศจีนยุคจิ๋นซีฮ่องเต้ (พ.ศ. 322 – 337)

หลังจากที่เจ้านครของรัฐฉินสามารถปราบปรามรัฐอื่นๆ อีก 6 รัฐได้แล้ว (คือรัฐเว่ย รัฐหาน รัฐเจ้า รัฐฉู่ รัฐเอียน และรัฐฉี) เจ้านครก็ตั้งตนเป็นปฐมจักรพรรดิของประเทศจีน เรียกเป็นภาษาจีนว่า “สื่อหวงตี้” ซึ่งนักประวัติศาสตร์ของโลกเรียกพระองค์ว่า #จิ๋นซีฮ่องเต้ พระองค์พร้อมด้วยลูกสมุนที่รับใช้พระองค์ในการปกครองประชาชนมีความเห็นว่าประชาชนเหล่าใดที่ยังยึดมั่นในวัฒนธรรม จารีตประเพณี ตามที่ลัทธิขงจื้อ สั่งสอนไว้ล้วนเป็นพวกล้าหลัง (ปัจจุบันพวกหัวก้าวหน้าเรียกว่า พวกสลิ่ม) “พระองค์จึงมีราชโองการให้เผาทำลายตำราทุกชนิด ยกเว้นตำราการแพทย์ การพยากรณ์ และการเพาะปลูก พร้อมๆ กับให้ประหารเหล่าสานุศิษย์ขงจื้อ และนักแสวงอายุวัฒนะกว่า 400 คน โดยการฝังทั้งเป็น นักประวัติศาสตร์เรียกเหตุการณ์นี้ว่าการเผ่าตำราเข่นฆ่าปัญญาชน” (จากหนังสือเรื่อง “ประวัติศาสตร์จีน” เขียนโดย โจวเจียรง (Zhoujiarong) แปลโดย 3 อาจารย์ชื่อดัง นำโดย อ.วิไล ลิ่มถาวรานันท์ ด้วยความร่วมมือของมหาวิทยาลัยปักกิ่ง, 2547, หน้า 64) โดยบังคับให้คนจีนทุกคนต้องปฏิบัติตามเฉพาะที่เป็นคำสั่งและกฎหมายของจิ๋นซีฮ่องเต้ เท่านั้น เพราะพวกเขาถือว่าความคิดใหม่ ระบบการปกครองแบบใหม่จะทำให้จีนมีความก้าวหน้า จึงจำเป็นต้องทำลายจารีตประเพณีและคำสอนเดิมๆ ให้สิ้น รวมทั้งต้องฆ่าพวกที่เป็น “สลิ่ม” เสียให้สิ้น เพราะขืนปล่อยให้มีชีวิตไว้จะขัดขวางความก้าวหน้าของประเทศ

หลังจากจิ๋นซีฮ่องเต้สิ้นพระชนม์ ลูกชายคนเล็กก็วางแผนกับขันทีชั่วแย่งราชสมบัติจากพี่ชายของตน เมื่อชนะแล้วก็ใช้ความโหดร้ายฆ่าทั้งพวกที่เป็นราชนิกูลและประชาชนที่ไม่เห็นด้วยไปเป็นจำนวนมาก เกณฑ์ราษฎรทำงานอย่างหนักเก็บภาษีโหด โดยชาวนาทุกคนต้องแบ่งผลผลิต 2 ใน 3 ให้กับกษัตริย์

ความทุกข์ทรมานอย่างทนไม่ไหวจึงทำให้ทั้ง 6 รัฐเก่าลุกฮือขึ้นต่อต้านนำโดย รัฐฉู่และรัฐอื่นๆ ร่วมกับผู้นำชาวนาคือ หลิว ปัง LIU BANG และกองโจรสลัดนำโดย ยิงบู (YING BU) ซึ่งเป็นพวกนักโทษที่ไม่ยอมไปสร้างสุสานและกำแพงเมืองตามคำสั่งของจักรพรรดิ จนในที่สุดสามารถล้มราชวงศ์ของจิ๋นซีฮ่องเต้ได้ ผู้นำกบฏที่ชื่อ หลิว ปัง จึงได้รับการยกย่องจากรัฐอื่นๆ ให้เป็นจักรพรรดิในราชวงศ์ใหม่  หลิว ปัง จึงเปลี่ยนชื่อเป็นพระเจ้าฮั่นอู่ตี้ เป็นปฐมกษัตริย์ของราชวงศ์ฮั่น ราชวงศ์ใหม่จึงประกาศใช้ลัทธิขงจื้อเป็นลัทธิประจำชาติ พวกปัญญาชนที่รอดตายจากการถูกสังหารหมู่เพราะเป็นพวก “สลิ่ม” ก็ #ถูกเรียกกลับมารับใช้ชาติ จนจีนเจริญติดต่อกันมาในสมัยราชวงศ์ฮั่นถึง 450 ปี ในขณะที่ราชวงศ์จิ๋นของจิ๋นซีฮ่องเต้ที่เรียกตัวเองว่าเป็นพวกหัวก้าวหน้ามีอายุของราชวงศ์ได้เพียง 15 ปีเท่านั้น*

*สำหรับผู้ที่สนใจรายละเอียดสามารถอ่านได้จากหนังสือชื่อ The Unbroken Chain เขียนโดย Dr.Trairong Suwankiri และศาสตราจารย์ Dr.Wu Ben Li, 2014, หน้า 126 – 140.

2) ประเทศจีนสมัยเมาเซตุงกับการปฏิวัติทางวัฒนธรรม (ค.ศ. 1966 ถึง 1976)

#เมาเซตุง ในฐานะประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีนและเป็นผู้จัดตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน ต้องการให้มีการกวาดล้างวัฒนธรรม จารีตประเพณี และความเชื่อดั้งเดิมต่างๆ ในจีนออกให้หมด โดยเฉพาะวัฒนธรรมประเพณีในลัทธิขงจื้อและความคิดแบบทุนนิยมให้เหลือแต่วัฒนธรรมแบบคอมมิวนิสต์ของเหมาเจ๋อตุงเท่านั้น จึงได้จัดตั้งกลุ่มหนุ่ม – สาวที่ยังไม่ทันโลกไม่ทันเกมออกกวาดล้างผู้ที่มีความเห็นต่างจากประธานเหมาเจ๋อตุง เกิดความวิตถารขึ้นหลายอย่าง เช่น ลูกๆ จับพ่อแม่มาอบรมด่าว่า ลูกศิษย์จับครูบาอาจารย์มาอบรม ทุบตี และด่าว่าด้วยศัพท์ที่หยาบคายรุนแรงอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ในพรรคคอมมิวนิสต์จีนเอง คนที่มีความคิดแบบทุนนิยมอยู่บ้าง จะถูกถอดถอนจากทุกตำแหน่ง คนอย่างเติ้ง เสี่ยว ผิง ซึ่งเคยรบเคียงบ่าเคียงไหล่มากับเหมาเจ๋อตุงก็ยังถูกปลดจากทุกตำแหน่งในข้อหาว่าเป็นพวก “สลิ่ม” ส่งไปให้ทำงานเป็นกรรมกรอยุ่ในโรงงานผลิตรถแทรกเตอร์ที่มณฑลเสฉวน ส่วนประชาชนชาวสลิ่มที่ถูกรังแกข่มเหงมีถึง 10 ล้านคน เสียชีวิตไปหลายแสนคน

แต่พอเหมาเจ๋อตุงเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1976 พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้เล็งเห็นถึงความหายนะและความล้าหลังของประเทศที่พวกหัวก้าวหน้าได้กระทำเอาไว้ จึงรีบเชิญพวกสลิ่ม เช่น เติ้ง เสี่ยว ผิง ขึ้นมามีอำนาจ นำความคิดแบบพวก “สลิ่ม” คือการเปิดประเทศทำมาค้าขายกับชาวโลกภายใต้ระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมจน #ทำให้จีนพัฒนาเติบโตร่ำรวยและก้าวหน้า จนอเมริกาและยุโรปตามไม่ทันจนถึงปัจจุบันนี้ และเมื่อระบบเศรษฐกิจแบบใหม่ก้าวหน้านำชาติเจริญจนพอใจแล้ว เติ้ง เสี่ยว ผิง ก็ลาออกจากทุกตำแหน่งมอบหมายให้นายหู จิ่น เทา เป็นประธานาธิบดีต่อจากตน พวกสลิ่มในสายตาของพวกหัวก้าวหน้า (เรดการ์ด) ก็ปกครองจีนต่อๆ กันมาจนเจริญมั่งคั่งมาจนถึงปัจจุบัน

3) ประเทศฝรั่งเศส : หลังจากการปฏิวัติใหญ่ล้มล้างสถาบันกษัตริย์ได้สำเร็จในปี ค.ศ. 1789 หลังจากนั้นพวกกบฏผู้มีชัยชนะก็แย่งชิงอำนาจฆ่าฟันกันเอง ประเทศถอยหลังไปร่วม 10 กว่าปี จนในที่สุดเพื่อสนองความต้องการลึกๆ ในหัวใจของประชาชนส่วนใหญ่ ระบบกษัตริย์ก็ถูกสถาปนาขึ้นมาใหม่ในปี ค.ศ. 1804 จนถึง ค.ศ. 1814 โดยมี #นโปเลียน ตั้งตนเป็นจักรพรรดิของฝรั่งเศส (หนักกว่าระบบกษัตริย์ที่ถูกพวกหัวก้าวหน้าล้มล้างไปเสียอีก)

จะเห็นว่านโปเลียนเองเริ่มต้นชีวิตการเมืองโดยเข้าร่วมเป็นพวกกบฎล้มล้างสถาบันกษัตริย์ของฝรั่งเศส แต่ตัวนโปเลียนหาได้รังเกียจตัวสถาบันไม่ยังคงเห็นความจำเป็นที่ฝรั่งเศสต้องมี เพื่อความมั่นคงของประเทศ จึงได้สถาปนาระบบกษัตริย์ขึ้นมาใหม่ เรียกได้ว่าในหมู่พวกกบฏหรือนักปฏิวัติในปี ค.ศ. 1789 นั้น ต้องถือว่านโปเลียนเป็นพวก “สลิ่ม” แต่ฝรั่งเศสก็ต้องกลับมาใช้พวกสลิ่มให้มา #แก้ปัญหาและนำชาติให้แข็งแกร่งเป็นที่ยำเกรงไปทั่วทั้งโลก และมรดกที่สำคัญที่สุดก็คือ นโปเลียนเป็นคนสั่งตั้งคณะกรรมการให้ยกร่างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โดยพระองค์เองเข้าร่วมประชุมหลายครั้ง ประมวลกฎหมายแพ่งฯ ของฝรั่งเศสยุคนโปเลียนกลายเป็นแม่แบบของประมวลกฎหมายแพ่งฯ แก่ประเทศต่างๆ ไปทั่วโลกจนถึงปัจจุบัน

#สรุป ที่พูดมาทั้งหมดก็เพื่อชี้ให้เห็นว่า คนในชาติทุกๆ กลุ่ม แม้ความคิดเห็นไม่เหมือนกัน แต่ #ไม่ควรถือเป็นศัตรูคิดล้มล้างกันด้วยความรุนแรง อย่างที่เกิดขึ้นในจีนทั้งในสมัยจิ๋นซีฮ่องเต้และสมัยเรดการ์ดของเหมาเจ๋อตุงและในสมัยการปฏิวัติใหญ่ของฝรั่งเศส ค.ศ. 1789 ทุกกลุ่มล้วนมีประโยชน์ ถ้ารอมชอมกันไม่ตั้งตนเป็นศัตรูกันและกัน คนที่มีหัวก้าวหน้าย่อมมีประโยชน์อย่างแน่นอน เพราะถ้าไม่มีพวกเขาคอยกระตุ้นพวกสลิ่ม (ทั้งนักการเมืองและข้าราชการ) ก็ไม่เคยคิดจะเปลี่ยนแปลงอะไรอย่างจริงๆ จังๆ เอาแต่ตัวเองรอดไปวันๆ (ถือคติของคนขี้ขลาดว่ารักษาตัวรอดเป็นยอดดี) อย่างที่เห็นอยู่กันในปัจจุบัน แต่ถ้าให้ประเทศต้องไหลเลื่อนเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเพราะความใจร้อนของพวกหัวก้าวหน้า ที่อยู่ในความประมาทโดยไม่รู้ว่าอะไรควร อะไรไม่ควร อะไรทำได้อะไรทำไม่ได้ ประเทศก็จะประสบกับความวิบัติอย่างที่เกิดขึ้นในจีน ค.ศ. 1966 – 1976 และที่เกิดขึ้นในฝรั่งเศสช่วงปี ค.ศ. 1789 – 1804

#เฮเกล และ #คาร์ลมาร์ก เชื่อว่าการพัฒนาการของสังคมจากสภาวะเก่าที่เรียกว่า Thesis (ซึ่งก็คือความคิดเก่า) ไปสู่สภาวะใหม่ที่เรียกว่า Anti – Thesis (ความคิดใหม่ที่ก้าวหน้ากว่า) นั้น จะต้องผ่านขั้นตอนที่เรียกว่า #สภาวะสังเคราะห์ #Synthesis ซึ่งก็คือการนำความคิดเก่าและความคิดใหม่มาสังเคราะห์ให้พอเป็นที่ยอมรับกันได้ทั้งสองฝ่าย เพื่อเป็นแนวทางใหม่ให้กับสังคมหรือประเทศชาติ

เชื่อเถอะการใช้ความรุนแรงโดยตั้งตนเป็นศัตรูกันและกัน #ไม่มีใครชนะ #ทุกฝ่ายจะพ่ายแพ้ สลิ่มคิดจะใช้กำลังปราบความคิดก้าวหน้าของคนรุ่นใหม่ให้หมดได้อย่างไร เพราะความคิดเป็น “นามธรรม” คนพวกหัวก้าวหน้าจะคิดฆ่าแกงพวกสลิ่มให้หมดประเทศได้อย่างไร เพราะพวกเขามีปริมาณมากกว่าพวกหัวก้าวหน้าหลายเท่านักและความคิดเป็นนามธรรมที่ฆ่าได้ยากมาก

สภาวะสังเคราะห์ (Synthesis) น่าจะเป็นแนวทางที่ดีที่สุดสำหรับทุกๆ ฝ่าย และสำหรับประเทศเป็นส่วนรวม ถ้าลดสภาวะหลงตัวเอง หลงความคิดตัวเอง หลงในฐานะและผลประโยชน์ของตนเองลงมากันบ้าง

#ประเทศนี้ก็ยังพอมีทางออก #ไม่ต้องมาชี้หน้าด่ากันอย่างหยาบคาย อย่างที่ทำๆ กัน แล้วจะได้อะไรดีขึ้นมาโดยการทำเช่นนั้นเล่า ผมขอเรียนว่าความเห็นที่ลงในเฟซบุ๊ก เป็น #ความเห็นส่วนตัวไม่เกี่ยวกับพรรคปชป.แต่อย่างใด