หากจะถามว่ารถยนต์แบรนด์ใดมีชื่อเสียงในด้านการแข่งความเร็วมากที่สุด ชื่อของ เฟอร์รารีจากประเทศอิตาลีนับได้ว่าโชกโชนกว่าใคร และเป็นรถที่มีแต่คนจ้องจะบดขยี้ลงให้ได้ จริงอยู่ที่พวกเขาไม่ได้ชนะทุกครั้ง แต่มีครั้งหนึ่งที่พวกเขาเข้าเส้นชัยได้อย่างสง่างาม เพราะเป็นการเข้าเส้นชัยติด ๆ กันแบบหน้ากระดานถึง 3 คัน นั่นก็คือในการแข่งขันความเร็วสุดทรหด “เดย์โทน่า 24 ชั่วโมง” ในปี 1967 ที่จัดแข่งที่สนามแข่งเดย์โทน่า บีช ในรัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา

ในครั้งนั้นรถแข่งของทีมเฟอร์รารี 3 รุ่นคือ 412P, 330 P3 และ 330 P4 (เฟอร์รารีรุ่น P330 P3 คือรถรุ่นที่ขับเคี่ยวกับฟอร์ด จีที 40 ในการแข่งเลอมังส์ 24 ชั่วโมงในปี 1966 ในภาพยนตร์เรื่อง Ford V Ferrari นั่นเอง) ชัยชนะที่เดย์โทน่า บีชนี้ได้สร้างประวัติศาสตร์ที่งดงามแห่งการแข่งขันของยุคทศวรรษที่ 60 ให้กับทีมเฟอร์รารี รูปลักษณ์สไตล์ออร์แกนิกที่ลู่ลมแสนเย้ายวนของรถรุ่น 330P3/4 ได้ตราตรึงเข้าไปในหัวใจของเหล่า ทิโฟซี (Tifosi) หรือเฟอร์รารีแฟน นับแต่นั้นมาจนถึงปัจจุบัน และนี่คือที่มาของเฟอร์รารี รุ่น “เดย์โทน่า เอสพี3” (Ferrari Daytona SP3) รถที่สร้างขึ้นจากจิตวิญญาณของรถแข่ง330 P3/4 นั่นเอง

เดย์โทน่า เอสพี3 คือสมาชิกคันที่สาม ของกลุ่มรถที่ผลิตเป็นจำนวนจำกัด ที่มีชื่อว่า “ไอโคน่า ซีรีส์” (Icona Series) หรือรถที่ผลิตขึ้นเพื่อรำลึกถึงรถในตำนาน โดยจะผลิตเพื่อจำหน่ายเป็นจำนวนจำกัด โดยรถรุ่นนี้จะผลิตออกมาเพียง 599 คันเท่านั้น โดยเฟอร์รารีตั้งราคาไว้ที่คันละ 2 ล้านยูโรหรือราว 80 ล้านบาท (ราคาในยุโรป) แน่นอนว่า “จองหมดแล้ว”

เส้นสายของรถรุ่นนี้เป็นผลงานของนักออกแบบคู่บุญของเฟอร์รารี “ฟลาวิโอ มันโซนี่” (Flavio Manzoni) โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากรุ่น 330 P3/4 อย่างชัดเจน ด้วยการใช้พื้นผิวที่โค้งมน อวบอัดแต่ปราดเปรียวที่สร้างขึ้นเพื่อผลทางอากาศพลศาสตร์ แต่ปรับให้มีบุคลิกที่เฉียบคมไฮเทคขึ้น 

โดยด้านหน้าของตัวรถนั้น ไฟหน้าดวงกลมโตของ 330 P3/4 ถูกแทนที่ด้วยจมูกทรงแบนที่คมเฉียบดูจะมีกลิ่นอายของรถรุ่น SF90 มาไม่น้อย ส่วนด้านท้ายเด่นด้วยการใช้ครีบระบายความร้อนที่ผสมผสานร่องระบายอากาศด้านข้างของรุ่น 330 P3/4 เข้ากับด้านท้ายของเฟอร์รารี เทสตารอสซ่า (Testarossa) ได้อย่างเหมาะเจาะ

อีกจุดหนึ่งที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากรถรุ่น 330 P3/4 เห็นจะเป็นกระจกหน้าโค้งมน ซ้ายจดขวาคล้ายเครื่องบินขับไล่ไปจนถึงช่องดูดอากาศที่ซ่อนอยู่ด้านบนของประตู ที่เปิดแบบปีกแมลง และที่จะละเลยไม่ได้เลยก็คือกระจกมองข้างที่ติดอยู่เหนือซุ้มล้อหน้าทั้งสองข้างที่ถอดมาจากรถแข่ง 330 P3/4 แบบเต็ม ๆ

โครงสร้างของรถคันนี้เป็นคาร์บอนไฟ เบอร์เต็มรูปแบบในสไตล์ของรถแข่งสูตร 1 ในสไตล์เดียวกับของรุ่นลาเฟอร์รารี (LaFerrari) และเพื่อที่จะให้จุดศูนย์ถ่วงของคนขับอยู่ในตำแหน่งที่ต่ำที่สุด เบาะหน้าทั้งสองตัวจึงเป็นส่วนเดียวกับโครงสร้างรถ และการปรับให้เข้ากับร่างกายของคนขับจะใช้การปรับแป้นคันเร่ง/เบรก 

รวมถึงพวงมาลัยแทนจะไม่สามารถเลื่อนเบาะเดินหน้าถอยหลังหรือเอนหลังได้ ซึ่งในรถคันที่เปิดตัวนั้นเลือกที่จะใช้ผ้าหุ้มเบาะสีน้ำเงินสดในสไตล์ของรถแข่งแบบดั้งเดิม เรียกได้ว่าไม่ใช่รถที่เข้าง่ายออกสะดวกแต่อย่างใด คนที่จะขับรถคันนี้ต้องเข้ายิมให้ร่างกายฟิตแอนด์เฟิร์มเสียก่อน มิเช่นนั้นอาจจะเสียความมั่นใจเอาง่าย ๆ

และสุดท้ายก็คือหัวใจของมัน เครื่องยนต์รหัส F140HC แบบ V12 ความจุ 6.5 ลิตร รอบจัดวางกลางลำไม่มีเทอร์โบ ไม่มีระบบไฮบริดและระเบิดพลังออกมาได้ถึง 840 แรงม้า ที่รอบเครื่องยนต์สูงถึง 9,250 รอบ/นาที (การันตีว่าหูลั่นแน่นอน) ส่วนแรงบิดนั้นอยู่ที่ 697 นิวตัน-เมตร ที่ 7,250 รอบต่อนาที 

ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าประทับใจมากที่เฟอร์รารีตัดสินใจที่จะคงไว้ซึ่งความคลาสสิกของรูปแบบเครื่องยนต์แบบดั้งเดิมที่พร้อมส่งเสียงกรีดร้องของเครื่อง 12 สูบ ที่รอบสูงอันน่าหลงใหลนี้ไว้ และไม่คล้อยตามไปกับสงครามแรงม้าและแรงบิดของรถไฟฟ้าและรถไฮบริดที่ขึ้นไปทะลุหลักหนึ่งพันแรงม้ากันถ้วนหน้า แน่นอนว่าด้วยการเป็นเครื่องสันดาปภายในพันธ์ุแท้อาจจะไม่มีอัตราเร่งที่ท้าทาย

กฎฟิสิกส์เหมือนของรถไฟฟ้า แต่อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใน 2.85 วินาที ก็ไม่ใช่รถที่จะมาล้อเล่นกัน และความเร็วปลายนั้นทะลุ 340 กิโลเมตร/ชั่วโมง ด้วยสเปกเครื่องและรูปลักษณ์ รวมถึงการผลิตเป็นจำนวนจำกัดการันตีว่า “เฟอร์รารี เดย์โทน่า เอสพี3” นี่คือการลงทุนที่คุ้มค่าทุกประการ!.