สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 27 พ.ย.ว่านายกรัฐมนตรีฟุมิโอะ คิชิดะ ลงพื้นที่ค่าอาซากะ ของกองกำลังป้องกันตนเอง (เอสดีเอฟ) ในเขตชานกรุงโตเกียว เมื่อวันเสาร์ เพื่อพบปะกับเจ้าหน้าที่ซึ่งประจำการอยู่ภายในค่ายแห่งนี้ พร้อมทั้งให้โอวาทซึ่งมีเนื้อหาในตอนหนึ่งว่า สถานการณ์ด้านความมั่นคงในประเทศที่รายล้อมญี่ปุ่นอยู่นั้น “เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว” และ “มีแนวโน้มตึงเครียดกว่าที่คาดการณ์ไว้” โดยเฉพาะการทดสอบขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ และการขยายอิทธิพลทางทหารของจีน

นายกรัฐมนตรีฟุมิโอะ คิชิดะ ทดลองนั่งรถถังคันหนึ่ง ระหว่างลงพื้นที่ค่ายอาซากะ ทางตอนเหนือของกรุงโตเกียว


ด้วยเหตุนี้ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ญี่ปุ่นต้องยกระดับศักยภาพทางทหารของตัวเอง ทั้งในด้านการโจมตีและการป้องกัน ทั้งนี้ การลงพื้นที่ของผู้นำญี่ปุ่น เกิดขึ้นหลังสภาผู้แทนราษฎร ในกรุงโตเกียว มีมติเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา อนุมัติงบประมาณกลาโหมเพิ่มเติม ครอบคลุมถึงเดือน มี.ค.ปีนี้ เป็นจำนวนเงิน 770,000 ล้านเยน (ราว 229,017.20 ล้านบาท) เน้นไปที่การจัดซื้ออาวุธรุ่นใหม่ ทำให้งบประมาณกลาโหมของญี่ปุ่นในปีปัจจุบันจะพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ คือ 6.1 ล้านล้านเยน (ราว 1.79 ล้านล้านบาท) เพิ่มขึ้น 15% จากสถิติของปีงบประมาณ 2563

ANNnewsCH

อนึ่ง กระทรวงกลาโหมของญี่ปุ่นเผยแพร่สมุดปกขาวด้านทิศทางความมั่นคงประจำปีนี้ เมื่อเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา มีสาระสำคัญยังคงระบุว่า “จีนคือความวิตกกังวลด้านความมั่นคง” สำหรับญี่ปุ่น ความเคลื่อนไหวทางทหารของรัฐบาลปักกิ่งในบริเวณรอบไต้หวัน สร้างความหวั่นวิตกระดับสูงให้กับรัฐบาลโตเกียว เนื่องจากไต้หวันเป็นเกาะที่อยู่ใกล้กับเกาะโอกินาวา ซึ่งอยู่ทางตอนใต้สุดของญี่ปุ่น


ทั้งนี้ นับเป็นครั้งแรกที่ญี่ปุ่นกล่าวถึงไต้หวันโดยตรง ในเอกสารประจำปีด้านความมั่นคง และในขณะเดียวกันยังกล่าวถึงภาวะความเปลี่ยนแปลงด้านสภาพอากาศด้วย ว่าถือเป็น “ภัยคุกคามร้ายแรงต่อโลก” และส่งผลต่อศักยภาพทางทหารของประเทศหนึ่ง และการช่วงชิงอิทธิพลทางทหารระหว่างหลายประเทศเช่นกัน.

เครดิตภาพ : AP