นายวัฒนพงษ์ คุโรวาท ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เปิดเผยว่า สนพ. ได้ร่วมกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ดำเนินโครงการจัดทำแผนการพัฒนาสถานีประจุแบตเตอรี่สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าเพื่อรองรับเป้าหมายการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรองรับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานและมีความสอดคล้องกับทิศทางภาพรวมในการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศ เพื่อให้เกิดการพัฒนาสถานีอัดประจุไฟฟ้าที่มีเพียงพอต่อความต้องการใช้งานยานยนต์ไฟฟ้า และไม่เกิดภาระต่อผู้ใช้ไฟฟ้าในระยะยาว

ทั้งนี้ สนพ. จึงได้จัดประชุมรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะผ่านช่องทางออนไลน์ จำนวน 4 ครั้ง โดยเชิญกลุ่มเป้าหมายที่เกี่ยวข้อง 4 กลุ่ม ประกอบด้วย 1. หน่วยงานภาครัฐ 2. หน่วยงานภาคขนส่งและผู้ให้บริการอัดประจุ EV 3. หน่วยงานเอกชนที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์ไฟฟ้า และ 4. กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ เพื่อเสนอความคืบหน้าผลการศึกษาของโครงการฯ และรวบรวมความคิดเห็น ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับแนวทางการกำหนดรูปแบบและการบริหารจัดการข้อมูลจากยานยนต์ไฟฟ้า รวมถึงปัญหาอุปสรรคในการดำเนินการ เพื่อนำมาวิเคราะห์และปรับปรุงผลการศึกษา

โดยการประชุมรับฟังความคิดเห็นทั้ง 4 ครั้ง เป็นการหารือแนวทางการกำหนดรูปแบบและการบริหารจัดการข้อมูลจากยานยนต์ไฟฟ้า อาทิ แผนการเปลี่ยนมาใช้ยานยนต์ไฟฟ้า ความพร้อมของมาตรฐานและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการอัดประจุยานยนต์ไฟฟ้าในปัจจุบัน ปัญหาและอุปสรรคในการพัฒนาการติดตั้งสถานีอัดประจุ ปัญหาและอุปสรรคในดำเนินธุรกิจสถานีอัดประจุ และความเป็นไปได้ในการเก็บข้อมูลการใช้งานยานยนต์ไฟฟ้า เป็นต้น

อย่างไรก็ตามการสำรวจความคิดเห็นจากผู้เข้าร่วมประชุมทั้ง 4 ครั้ง พบว่า ในด้านนโยบายการส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าและสถานีอัดประจุไฟฟ้าในแต่ละประเภท ต้องการให้ส่งเสริมในกลุ่มรถยนต์ส่วนบุคคลรถกระบะ เป็นอันดับแรก รองลงมาคือกลุ่มรถโดยสาร เรือโดยสาร กลุ่มรถจักรยานยนต์ รถสามล้อ และกลุ่มรถบรรทุก ตามลำดับ

นอกจากนี้ต้องการให้ส่งเสริมการชาร์จยานยนต์ไฟฟ้าจากที่พักอาศัยเป็นอันดับแรก รองลงมาคือสถานีชาร์จสาธารณะ ลานจอดรถ สถานที่ทำงาน และสถานที่ราชการ ตามลำดับ ขณะเดียวกันยังได้แนะนำให้มีมาตรการส่งเสริมการพัฒนาสถานีให้บริการอัดประจุไฟฟ้าแบบสาธารณะ เช่น การร่วมมือกันระหว่างภาครัฐและเอกชน การสนับสนุนเงินทุน การสนับสนุนด้านภาษี เป็นต้น และควรออกแบบอัตราค่าไฟฟ้าสำหรับการอัดประจุยานยนต์ไฟฟ้าให้มีความเหมาะสม

อีกทั้งยังเสนอให้มีการเตรียมความพร้อมของสถานีอัดประจุยานยนต์ไฟฟ้าให้เพียงพอต่อการใช้งาน ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการปรับเปลี่ยนยานพาหนะมาใช้ยานยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น ขณะที่ความปลอดภัยก็เป็นสิ่งสำคัญที่ควรมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบด้านความปลอดภัยของสถานีอัดประจุยานยนต์ไฟฟ้าที่ติดตั้งใช้งานแล้วด้วยเช่นกัน