กระทรวงกลาโหมของอังกฤษวางแผนจะอนุญาตให้บุคคลทั่วไปที่มีผลตรวจพบเชื้อไวรัสโรคเอดส์สามารถสมัครเข้าร่วมงานในกองทัพได้ ถ้าบุคคลดังกล่าวไม่มีเชื้อไวรัสในตัวเป็นน้อยเกินกว่าจะแพร่โรคสู่ผู้อื่นได้ 

เจ้าหน้าที่ทหารที่พบว่าติดเชื้อเอชไอวีหลังจากเข้าร่วมกองทัพไปแล้ว ยังคงสามารถทำงานในกองทัพได้ แม้จะได้รับการจัดกลุ่มว่าไม่พร้อมประจำการ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ทางกระทรวงกลาโหมแจ้งว่ามีแผนที่จะทำการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน

“ยารักษาโรคได้ช่วยเปลี่ยนแปลงชีวิตและผลจากการเจ็บป่วยของผู้ป่วยเอชไอวี ในฐานะที่เป็นนายจ้างที่ทันยุคสมัยและเปิดกว้าง ก็นับว่าเหมาะแล้วที่เราจะยอมรับและปฏิบัติตามหลักฐานล่าสุดทางวิทยาศาสตร์” ลีโอ โดเชอร์ตี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมอังกฤษกล่าว 

ปัจจุบันสหรัฐอเมริกายังคงสั่งห้ามผู้ที่มีเชื้อเอชไอวีเข้าร่วมกองกำลังทางทหารของประเทศ และต้องเผชิญหน้ากับคดีความทางกฎหมายเกี่ยวกับนโยบายของกองทัพที่ไม่ยอมรับสมัครผู้ป่วยเอชไอวีเข้ามาเป็นนายทหารในกองทัพ

ถ้าหากผู้ป่วยเอชไอวีได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง จำนวนไวรัสในกระแสเลือดจะลดลงจนถึงระดับที่ไม่สามารถตรวจจับได้และไม่อาจแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้อีกต่อไป 

ตั้งแต่ช่วงต้นปีนี้ นายทหารในกองทัพอังกฤษซึ่งตรวจพบเชื้อเอชไอวีในตัว แต่มีจำนวนไวรัสที่น้อยมากจนไม่อาจแพร่เชื้อได้ จะโดนจัดกลุ่มให้เป็นทหารที่พร้อมประจำการ หมายความว่าพวกเขาสามารถเข้าร่วมปฏิบัติการทางทหารต่าง ๆ ได้

ประชาชนทั่วไปที่รับยาและสามารถลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อเอชไอวีได้ ก็สามารถเข้าร่วมงานในกองทัพได้เช่นกัน ก่อนหน้านี้ ผู้ป่วยที่ต้องกินยาเป็นประจำจะไม่สามารถทำงานในกองทัพได้ โดยมีข้อยกเว้นที่จำกัด เช่น ต้องใช้ยาคุมกำเนิด

แผนการเปลี่ยนแปลงนี้สร้างความยินดีแก่มูลนิธิโรคเอดส์แห่งชาติอังกฤษ เดบอราห์ โกลด์ ประธานบริหารมูลนิธิกล่าวว่า “หน้าที่การงานในกองทัพเป็นเพียงอาชีพเดียวที่ไม่เปิดกว้างให้ผู้ที่มีเชื้อเอชไอวีในอังกฤษ การเปลี่ยนแปลงที่จำเป็นอย่างยิ่งนี้จะทำให้กองทัพสามารถบรรลุพันธกรณีขององค์กรในการสนับสนุนไม่ให้มีการแบ่งแยกกันภายในกองทัพ” 

เครดิตภาพ : Reuters