สถานการณ์โควิด-19 ในประเทศไทยในเดือน ธ.ค. ช่วงส่งท้ายปี 64 ล่าสุด วันที่ 2 ธ.ค. 64 ผู้ติดเชื้อรายใหม่ 4,971 ราย ทำให้มีผู้ป่วยสะสม 2,096,866 ราย หายป่วยกลับบ้าน 5,402 ราย เสียชีวิต 33 ศพ ในขณะที่ทั่วโลกก็หวาดวิตกไวรัสโควิด-19 กลายพันธุ์ “โอไมครอน” ที่สะท้อนจากภาพรวมในตลาดหุ้นไทยและต่างประเทศ ซึ่งบรรดาแกนนำรัฐบาลต่างประสานเสียงรับมือไหว ยังไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง โดยเฉพาะกระทรวงสาธารณสุขภายใต้การนำของ “หมอหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข สั่งบุคลากรรับมือ พร้อมขอให้คนไทยอย่าประมาท การ์ดอย่าตก หวังสร้างความเชื่อมั่น เรียกความมั่นใจจากประชาชน

เช่นเดียวกับเสถียรภาพของรัฐบาลที่ต้องสร้างความสามัคคี ย่ำปึ้กเพื่อฝ่าคลื่นมรสุมทางการเมืองให้อยู่ครบเทอม 4 ปี

จึงได้เห็นภาพของ “2 ป.” จูงมือกันลงพื้นที่ร่วมตรวจราชการเป็นครั้งแรกที่ จ.อุดรธานี ภาพของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กับ “บิ๊กป้อม” ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กลบรอยร้าว จึงเห็นภาพ “บิ๊กตู่” ประคอง “บิ๊กป้อม” เป็นระยะๆ ระหว่างเดินปฏิบัติภารกิจและพบปะประชาชน จ.อุดรธานี ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่ “บิ๊กป้อม” กลับมาร่วมลงพื้นที่กับ “บิ๊กตู่” หลังจากก่อนหน้านี้แยกกันเดินสายลงพื้นที่ ท่ามกลางกระแสข่าวความขัดแย้งกันเองระหว่างพี่น้อง “3 ป.” และขั้วอำนาจในพรรคพลังประชารัฐ

และมีการส่งสัญญาณที่ชัดเจนจาก นายกรัฐมนตรี ที่บอกกับชาวบ้าน จ.อุดรธานี ว่า “จะอยู่ให้ครบเทอม” ก็เหลือเวลาอีก 2 ปี ซึ่งก็ปาไปถึงปี 66

ไล่ๆ มากับการประกาศกร้าวบนเวทีการมอบนโยบายการทำงานภาค กทม. โรงแรมรอยัลริเวอร์ของ “บิ๊กป้อม” เมื่อวันที่ 27 พ.ย.  ว่า “…ขอให้สามัคคีกัน ใครที่บอกว่าผมแตกแยกกับนายกรัฐมนตรี ไม่มีแน่นอน มีเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้แตกแยกกันได้คือความตาย 40 กว่าปี ผมกับนายกรัฐมนตรีดูแลกันมาตลอด ยืนยันเราเป็นหนึ่งเดียวไม่เคยแตกแยก นายกรัฐมนตรีมีหน้าที่บริหารประเทศ ผมมีหน้าที่บริหารพรรค…”

ประกาศชัดส่งสัญญาณถึงบรรดาก๊วน กลุ่มต่างๆ ในพรรคพลังประชารัฐที่ยังซุ่มก่อหวอด หลังปฏิบัติการ “กบฏ” คว่ำนายกรัฐมนตรีในศึกอภิปราย ที่ทุกวันรอยร้าวยิ่งขยายวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ แกนนำแต่ละกลุ่มยังเคลื่อนไหวอย่างเงียบๆ และพร้อมที่จะ “เอาคืน” กันแบบไม่ยั้ง โดยล่าสุดเกิดทฤษฎีสมคบคิด “ยืมมือสื่อฆ่าเพื่อน” ด้วยการปล่อยข่าวสกัดคู่แข่งบรรดา “ขาใหญ่” ย้ายพรรคในศึกเลือกตั้งครั้งหน้า โดย “กลุ่มสามมิตร” กลับบ้านเก่าคือพรรคเพื่อไทย ขณะที่ “ผู้กองธรรมนัส” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรค และ “เสี่ยปาน” วิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรค หอบหิ้วตระกูล “รัตนเศรษฐ” ไปซบพรรคภูมิใจไทย

ทำเอาบรรดาแกนนำที่ถูกปล่อยข่าวออกมาปฏิเสธข่าวลือพร้อมๆ กับหาตัวต้นตอข่าวปล่อยทันที และอีกไม่กี่อึดใจ นักร้อง เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ เดินหน้าร้อง ป.ป.ช. ไต่สวนเอาผิดคนปล่อยข่าว หากเป็น “ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง” อาจเข้าข่ายมีพฤติการณ์ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามความในรัฐธรรมนูญ มาตรา 234 (1) หรือไม่

ท่ามกลางความร้อนระอุภายในพรรคพลังประชารัฐ ที่ต้องการกำจัดฝั่งตรงกันข้ามให้พ้นพรรค เพื่อยึดฐานอำนาจภายในพรรคแบบเบ็ดเสร็จ ใครได้ประโยชน์? ใครเสียประโยชน์? ใครอยู่เบื้องหลัง? ใครอยู่ในขบวนการหอกข้างแคร่? เข้าทำนอง “ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่” สงครามรอบใหม่ เทศกาลเอาคืน คงเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้  แว่วๆ ว่า…งานนี้เตรียมถึงขั้นแตกหัก.