เรียกได้ว่ายังไม่ทันที่ประเทศจะโงหัวขึ้นจากพิษโควิด-19 ระบาดระลอก 3 ที่เพิ่งจะผ่อนความรุนแรงลงไป ก็ต้องมาเจอความเสี่ยงกับ “เชื้อมฤตยู” โควิดกลายพันธุ์ “โอไมครอน” ซึ่งทำเอาคนไทยต้องลุ้นระทึกกันอีกครั้ง

โดยความเสี่ยงนี้สอดคล้องกับคำเตือนของ ศาสตราจารย์ ดร.นายแพทย์ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ที่ออกมาบอกชัดว่าประเทศไทยยังมีความเสี่ยงต่อการระบาดระลอกใหม่เหมือนกับสถานการณ์ในหลายๆประเทศ โดยเฉพาะในช่วงเดือน ธ.ค. เป็นช่วงเวลาเสี่ยง เพราะเป็นช่วงเดือนที่มีวันหยุดยาว มีวันเทศกาล อากาศเย็นลง ประกอบกับการฉีดวัคซีนนานแล้วทำให้ภูมิคุ้มกันของคนส่วนใหญ่เริ่มตก อีกทั้งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ประเทศไทยเริ่มนโยบายเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวจากต่างชาติ ซึ่งต้องอาศัยการมีวินัยของทุกฝ่าย รวมทั้งการคงมาตรการป้องกันการแพร่ระบาด หากพบมีสัญญาณระบาด ต้องกล้าเปลี่ยนแปลงมาตรการอย่างรวดเร็ว และชัดเจน

ซ้ำร้ายนอกจากปัจจัยเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดระลอกใหม่แล้ว ยังเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่มีการแพร่ระบาดของ “เชื้อมฤตยูโอไมครอน” ที่เริ่มแพร่ระบาดในประเทศแถบแอฟริกาหลายประเทศ โดยมีการคาดการณ์เบื้องต้นว่าน่าจะมีความเร็วในการแพร่เชื้อมากขึ้นจากสายพันธุ์เดลตา และเร็วกว่าเดิม รวมทั้งอาจหลบภูมิคุ้มกันได้อย่างมีนัยสำคัญ และพบอัตราการการติดเชื้อซ้ำได้สูงขึ้น ซึ่งก็ยิ่งทำให้สถานการณ์ของไทยน่ากังวลมากยิ่งขึ้น

ทำเอางานนี้ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม จะมีการออกแอ๊คชั่น กำชับหน่วยงานความมั่นคงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเฝ้าระวังไม่ให้มีปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้เกิดการแพร่ระบาดระลอกใหม่ พร้อมทั้งให้เร่งติดตามชาวต่างชาติที่เดินทางมาจากประเทศเสี่ยง ที่เคยเดินทางเข้ามาก่อนจะมีประกาศห้ามเข้าประเทศไทย รวมทั้งเคสชาวต่างชาติที่เดินทางมาจากแอฟริกา 783 ราย ให้เร่งติดตามนำกลับมาทำการตรวจหาเชื้อโควิด-19 อีกครั้งด้วยวิธี RT-PCR เพื่อเป็นการป้องกันและควบคุมเชิงรุก

ซึ่งก็ยังต้องรอลุ้นกันว่า “รัฐบาลบิ๊กตู่” จะรับมือกับ “เชื้อมฤตยูโอไมครอน” ได้อย่างที่ประชาชนอยากเห็น หรือจะกลายเป็นภาพประวัติศาสตร์ความล้มเหลวซ้ำรอยการแพร่ระบาดระลอก 3

นอกจากการรับมือเรื่องการแพร่ระบาดแล้ว การเตรียมรับมือกับผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เป็นผลพวงของการแพร่ระบาดก็สำคัญไม่แพ้กัน ทั้งนี้เมื่อเช็กดูเงินในกระเป๋าของรัฐบาลที่ยังสามารถใช้รับมือกับสถานการณ์แพร่ระบาดระลอกใหม่ ก็พบว่ารัฐบาลยังเหลือโควตาเงินกู้เพื่อนำมาแก้ปัญหาโควิด-19 อยู่อีกประมาณ 3.8-3.9 แสนล้านบาท ประกอบกับรัฐบาลได้เพิ่มเพดานหนี้สาธารณะไว้แล้วจะทำให้รัฐบาลกู้เพิ่มได้ แต่หากเกิดการแพร่ระบาดระลอกใหม่ โดยเป็น “เชื้อมฤตยูโอไมครอน” ที่อัพเกรดความโหดขึ้นอีกขึ้น เงินที่รัฐบาลมีอยู่จะเพียงพอกับการรับมือสถานการณ์หรือไม่

เพราะหากเกิดการระบาดใหญ่กันอีกระลอก จนนำไปสู่มาตรการปิดเมือง ล็อคดาวน์กันอีกรอบ ก็จะยิ่งซ้ำเติมปัญหาเศรษฐกิจมากยิ่งขึ้น ขณะที่เงินในกระเป๋าของรัฐบาลส่วนใหญ่ก็จะถูกใช้ไปกับการจ่ายเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ ซึ่งจะกลายเป็นน้ำซึมบ่อทรายที่สวนทางกับโจทย์การกระตุ้นเศรษฐกิจ สุดท้ายแล้วก็จะทำให้เกิดปัญหา “พิษเศรษฐกิจ” ที่เข้าขั้นเลวร้ายเป็นประวัติการณ์ จนอาจทำให้ประเทศไทยตกอยู่ในหลุมดำของความยากจนอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ทั้งหมดทั้งมวลถือจะเป็น “โจทย์ร้อน” ที่รัฐบาลจะต้องพิสูจน์ฝีมือกันอีกครั้งหนึ่งและอาจจะเป็นครั้งสุดท้าย! เพราะเดิมพันของรัฐบาลในครั้งนี้คือชีวิตของคนไทยทั้งประเทศ

และเมื่อปรับโฟกัสไปที่ความมั่นคงของรัฐบาล แม้ “บิ๊กตู่” ออกมาประกาศย้ำอีกรอบว่ารัฐบาลจะอยู่จนครบเทอม พร้อมมีการโชว์ภาพหวานโอบเอวควงคู่ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ลงพื้นที่อุดรธานีกันอย่างชื่นมื่น สยบข่าวรอยร้าวภายในพรรคพลังประชารัฐ ขณะที่สถานการณ์ตรึงเครียดภายในพรรคพลังประชารัฐก็เริ่มลดลง ท่ามกลางการปล่อยข่าวลือ-ข่าวลวง ข่าวปิดดีล เรื่องการย้ายพรรคของกลุ่มก๊วนต่างๆ แต่สุดท้ายก็จบลงด้วยการออกมาปฏิเสธกันไปตามระเบียบ

สิ่งที่เกิดขึ้นในพรรคพลังประชารัฐในช่วงที่ผ่านมาถือเป็นแค่สนามซ้อม เพราะแรงกระเพื่อมที่แท้จริง มีโอกาสจะเกิดขึ้นอีกครั้งในช่วงใกล้เลือกตั้ง ซึ่งตามไทม์ไลน์แล้ว การเลือกตั้ง ส.ส. อาจจะเกิดขึ้นหลังจากเสร็จศึกเลือกตั้ง ผู้ว่า กทม. ซึ่งจะพอดิบพอดีกับช่วงการแก้ไขพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งทั้ง 2 ฉบับ แล้วเสร็จ คือช่วงปลายปี 2565 คาบเกี่ยวจนถึงต้นปี 2566  

ดังนั้นแม้ตอนนี้สถานการณ์ภายในพรรคพลังประชารัฐจะดูสงบลง แต่ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าปลายทางข้างหน้าคือการรอวันแตกหักอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้!

โดยปัจจัยหลักยังคงอยู่ที่ การเดินเกมของ “บิ๊กป้อม” ภายใต้ยุทธศาสตร์ “อยากเก็บเธอไว้ทั้งสองคน” ทั้ง “น้องเลิฟ” และ “ลูกน้องคนสนิท” แต่สิ่งนี้น่าจะเป็นเรื่องที่ไปไกลได้ไม่ถึงฝั่งฝัน เพราะต่างฝ่ายต่างออกอาการให้เห็นได้ชัดว่าไม่แฮปปี้กับอีกฝ่าย ดังนั้นหาก “บิ๊กป้อม” ยังคงไม่ตัดสินใจเลือกฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ก็คงจะประคับประคองพรรคพลังประชารัฐต่อไปได้ยาก เพราะขณะนี้ภายในพรรคมีทั้งฝ่ายพวกเดียวกันเอง ฝ่ายค้าน และฝ่ายแค้น โดยฝ่ายหนึ่งกำลังออกอาการดิ้นสู้โชว์ผลงานแบบทุ่มสุดตัว ขณะที่อีกฝ่ายยังคงยืนกรานส่ายหัวปฏิเสธแบบหัวเด็ดตีนขาด

ดังนั้นถึงที่สุดแล้ว เมื่อเข้าใกล้ช่วงที่จะมีการเลือกตั้งใหญ่ “พี่ใหญ่-น้องเล็ก” คงจะต้องจับเข่าคุยเคลียร์ใจกันอีกรอบ เมื่อถึงตอนนั้น “บิ๊กป้อม” คงต้องตัดสินใจว่าจะเลือกใคร ระหว่าง “น้องเลิฟ” หรือ “ลูกน้องคนสนิท” และใครจะต้องอัปเปหิตัวเองออจากพรรคพลังประชารัฐในท้ายที่สุด

ซึ่งจุดนี้เองจะเป็นจุดเปลี่ยนทางการเมืองของประเทศ เพราะหากคำตอบสุดท้ายของ “บิ๊กป้อม” คือการเลือกว่ายังจะแท็กทีม “พี่น้อง 3 ป.” กอดคอเดินต่อภายใต้ชายคาพรรคพลังประชารัฐ ในการสู้ศึกเลือกตั้งครั้งหน้า แม้โอกาสที่จะพาพรรคพลังประชารัฐก้าวขึ้นแท่นพรรคอันดับหนึ่งในการเลือกตั้งนั้น แม้จะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็คงไม่เป็นเรื่องยากเกินไป แต่หากคำตอบสุดท้ายของ “พี่น้อง 3 ป.” คือการแยกทางการก็จะทำให้เล็งเห็นถึงผลการเลือกตั้งในอนาคตได้เลยว่า พรรคเพื่อไทย จะสร้างปรากฏการณ์แลนด์สไลด์ทางการเมืองครั้งใหญ่ และอาจจะกลายเป็นจุดสิ้นสุดมหากาพย์อำนาจของ “บิ๊กท็อปบู๊ต”

ปรับโฟกัสไปที่การเมืองในสภา ก็เริ่มสะท้อนให้เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์ตอนนี้ “รัฐบาลบิ๊กตู่” มีโอกาสที่จะอยู่ได้ครบเทอม เพราะดูจากความไม่ลงรอยของพรรคฝ่ายค้าน ที่เริ่มมีให้เห็นบ่อยยิ่งขึ้น ล่าสุดกรณี พรรคก้าวไกลขอให้สภาพิจารณาแต่งตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญเพื่อพิจารณาข้อเท็จจริงในข้อบกพร่องการกำหนดเส้นทางเสด็จฯและการถวายความปลอดภัยของสมเด็จพระราชินี เมื่อวันที่ 14 ต.ค.2563 ให้สภาพิจารณาญัตติด่วน แต่ทางพรรคเพื่อไทยเลือกที่จะงดออกเสียงในเรื่องดังกล่าว ซึ่งจะทำให้การเดินต่อไปด้วยกันของทั้งสองพรรค เป็นไปได้ยากมากขึ้น

และนอกจากความไม่ลงรอยในสภาแล้ว ในสนามเลือกตั้งที่กำลังจะเปิดฉากขึ้น ศัตรูทางการเมืองที่จะเป็นอุปสรรคต่อการสร้างปรากฏการณ์แลนด์สไลด์ทางการเมืองของพรรคเพื่อไทย นอกจากจะเป็นพรรคพลังประชารัฐแล้ว ยังหมายรวมถึงพรรคก้าวไกลด้วย เพราะพรรคเพื่อไทยยังต้องแย่งคะแนนโหวตของกลุ่มเยาวรุ่นจากพรรคก้าวไกลเพื่อให้ไปถึงฝั่งฝัน แม้งานนี้ภายใต้กติกาเลือกตั้งบัตร 2 ใบ จะเอื้อให้พรรคเพื่อไทยสามารถเอาชนะในสนามเลือกตั้งได้ แต่หากไม่สามารถเอาชนะแบบแลนด์สไลด์แบบกวาดทั้งกระดานได้ โอกาสที่จะไปได้ถึงฝั่งฝันในการเป็นรัฐบาลยังมีอีกอุปสรรคคือ 250 ส.ว.ในสภา

ดังนั้นนอกจากประเทศไทยจะต้องเสี่ยงกับ “หลุมดำความยากจน” จากการแพร่ระบาดของ“เชื้อมฤตยูโอไมครอน”แล้ว ยังมีความเสี่ยงกับ “หลุมดำวังวนการเมือง” ที่ไม่มีทางออกกันอีกครั้งหนึ่ง!