นายไชย ไชยวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ไทยประกันชีวิตยืนยันฐานะทางการเงินแข็งแกร่ง พร้อมดูแลผู้เอาประกันภัยตามเงื่อนไขสัญญาที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ โดยปัจจุบันมีเงินกองทุนที่ต้องดำรงตามกฏหมายอยู่ที่ 334% ซึ่งสูงกว่าอัตราที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) กำหนดที่ 120% เงินสำรองประกันชีวิต 385,723 ล้านบาท ที่พร้อมจ่ายสินไหมและเงินผลประโยชน์ตามกรมธรรม์แก่ผู้เอาประกันตามเงื่อนไขสัญญา และมีสินทรัพย์รวม 511,391 ล้านบาท  

“ไทยประกันชีวิต เน้นการดำเนินธุรกิจของไทยประกันชีวิตมุ่งเน้นการพัฒนาประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์และบริการ รวมถึงการบริหารจัดการความเสี่ยงด้านการรับประกันภัยอย่างรอบคอบ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้เอาประกันภัยของบริษัทฯ ขณะเดียวกันฐานะทางการเงินของบริษัทฯ ในปัจจุบันมีความแข็งแกร่ง โดยได้รับการจัดอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินภายในประเทศ จากสถาบัน ฟิทช์ เรทติง อยู่ที่ เอเอเอ (tha) ซึ่งเป็นระดับสูงสุดของธุรกิจไทย”

นายไชยกล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด แม้จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ แต่บริษัทฯ ไม่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากอัตราการจ่ายสินไหมทดแทนของบริษัทฯ ช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และหลังการแพร่ระบาด อยู่ในอัตราที่ใกล้เคียงกัน โดยปี 62 มีจำนวนการเคลมสินไหมทดแทน ทั้งสินไหมมรณกรรมและสินไหมสุขภาพ ประเภทกรมธรรม์รายบุคคล และประเภทสินเชื่อ อยู่ที่ 722,863 ราย รวมเป็นเงินจ่ายสินไหมทั้งสิ้น 11,317 ล้านบาท และปี 63 จำนวนการเคลมสินไหมทดแทนอยู่ที่ 608,667 ราย รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 10,647 ล้านบาท ขณะที่เดือน ม.ค.-ต.ค.64 จำนวนการเคลมอยู่ที่ 478,467 ราย รวมเป็นเงิน 9,820 ล้านบาท ซึ่งแสดงให้เห็นว่าบริษัทฯ สามารถบริหารจัดการด้านสินไหมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันบริษัทฯ มีนโยบายด้านการบริหารความเสี่ยงที่รอบคอบรัดกุม

“บริษัทฯ พร้อมเคียงข้างลูกค้าในทุกสถานการณ์ พร้อมดูแลผู้เอาประกันภัยตามเงื่อนไขสัญญาที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ ทั้งการจ่ายสินไหมและเงินผลประโยชน์ต่างๆ ยกเว้นกรณีที่ผู้เอาประกันภัยปกปิดข้อเท็จจริงที่เป็นสาระสำคัญต่อการรับประกันภัย หรือมีเจตนาทุจริตต่อบริษัทฯ จึงขอให้ผู้เอาประกันภัยที่ถือกรมธรรม์ของไทยประกันชีวิตเชื่อมั่นได้ว่าจะได้รับการดูแลตลอดสัญญากรมธรรม์”