สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย เมื่อวันที่ 7 ธ.ค.ว่านายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ให้การต้อนรับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ในโอกาสเยือนอินเดียอย่างเป็นทางการ เมื่อวันจันทร์ โดยผู้นำทั้งสองประเทศร่วมกันเป็นสักขีพยานในการลงนามข้อตกลงด้านการลงทุน 28 ฉบับ เพื่อยกระดับมูลค่าการค้าทวิภาคีให้เป็น 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี (ราว 1.01 ล้านล้านบาท) ภายในปี 2568 และการขยายกรอบความร่วมมือระดับทวิภาคีทางการทหารและเทคโนโลยี ต่อไปจนถึงปี 2574


แม้สหรัฐยังไม่มีความเห็นอย่างเป็นทางการต่อการเยือนอินเดียของปูติน แต่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมั่นใจว่า รัฐบาลวอชิงตันจับตาเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด จากการที่รัสเซียเริ่มส่งชิ้นส่วนระบบป้องกันทางอากาศ “เอส-400” ให้แก่อินเดีย เมื่อต้นเดือนที่แล้ว โดยทั้งสองประเทศลงนามกันในข้อตกลงดังกล่าว เมื่อปี 2561 ซึ่งอินเดียสั่งซื้อทั้งหมด 5 ชุด สนนราคารวมประมาณ 5,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 186,120 ล้านบาท)

ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน และนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี พบหารือกันที่ทำเนียบไฮเดอราบาด ในกรุงนิวเดลี


ทั้งนี้ ในตอนหนึ่งของการแถลงต้อนรับผู้นำรัสเซีย โมดีกล่าวว่า “ความสมดุลของภูมิศาสตร์การเมืองโลก” เปลี่ยนแปลงไปมากในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา แต่มิตรภาพระหว่างรัสเซียกับอินเดียยังคงแข็งแกร่ง ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศของทั้งสองฝ่ายให้ข้อมูลตรงกัน ว่าปูตินและโมดีแลกเปลี่ยนความเห็นกัน เกี่ยวกับสถานการณ์ในอัฟกานิสถานด้วย


นอกจากนี้ กระทรวงกลาโหมของอินเดียมีแถลงการณ์ยกย่อง “ข้อตกลงสำคัญ” เกี่ยวกับการได้รับความสนับสนุนจากรัฐบาลมอสโก ในด้านการจัดหาปืนไรเฟิลแบบเอเค-203 จำนวน 600,000 กระบอก โดยจะมีทั้งการซื้อตรง และการร่วมทุนผลิต


อย่างไรก็ตาม มีการวิเคราะห์เช่นกันว่า การพบหารือครั้งนี้ “คือบททดสอบ” สำหรับทั้งอินเดียและรัสเซีย จากการที่รัฐบาลนิวเดลีเป็นส่วนหนึ่งของพันธมิตรจตุภาคี “ควอด” ร่วมกับสหรัฐ ออสเตรเลีย และญี่ปุ่น แต่ในเวลาเดียวกัน สหรัฐยังคงขู่คว่ำบาตรอินเดีย จากกรณีซื้อระบบเอส-400 ซึ่งอินเดียยืนยันว่า จะใช้เพื่อยกระดับศักยภาพในการรับมือกับ “ภัยคุกคาม” ทางทหารจากจีน ที่เป็นพันธมิตรสำคัญของรัสเซีย.

เครดิตภาพ : AP