นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม เปิดเผยภายหลังตรวจติดตามความคืบหน้าโครงการพัฒนาชายฝั่งทะเลและสิ่งล่วงล้ำลำน้ำในพื้นที่ จ.ชลบุรี ว่า จากการลงพื้นที่ตรวจติดตาม พบว่า มีสิ่งรุกล้ำลำน้ำจำนวนมากที่ยังไม่ได้รื้อถอน เนื่องจากกรมเจ้าท่า (จท.) ไม่ได้รับงบประมาณในการดำเนินการส่วนนี้ โดยเมื่อปีงบประมาณ 64 จท. ได้ของบราว 100 ล้านบาท แต่ก็ไม่ได้รับการอนุมัติเลย ซึ่งส่วนนี้ได้ให้กรมเจ้าท่าไปจัดทำรายละเอียดเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 21 ธ.ค.64 พิจารณาอีกครั้ง อย่างไรก็ตามในระหว่างที่ยังไม่ได้รับงบประมาณในการรื้อถอนได้กำชับให้ จท. สอดส่องดูแลไม่ให้มีสิ่งรุกล้ำลำน้ำเพิ่มเติม

นอกจากนี้ จท. ยังอยู่ระหว่างดำเนินการพัฒนาชายฝั่งทะเล เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว กระตุ้นเศรษฐกิจประเทศ โดยได้ปรับปรุงทำชายหาด เสริมทรายให้กว้าง 50 เมตร เป็นระยะทาง 3,500 เมตร ใช้เวลาก่อสร้าง 5 เดือน คาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณกลางปี 65 เมื่อมีการเสริมหาดทรายส่วนนี้แล้วเสร็จ จะทำให้ประชาชนได้ใช้เพื่อการท่องเที่ยวมากขึ้น อย่างไรก็ตามได้มอบให้ จท. ศึกษาดำเนินโครงการนี้เพิ่มเติมในพื้นที่บริเวณบางเสร่ จ.ชลบุรี เบื้องต้นทราบว่า ขณะนี้ จท. อยู่ระหว่างเตรียมว่าจ้างที่ปรึกษาดำเนินการศึกษา โดยจะใช้งบประมาณ 18 ล้านบาท ใช้เวลาศึกษา 9 เดือน พร้อมกันนี้ได้ให้ไปบูรณาการกับกรมทางหลวง (ทล.) และกรมทางหลวงชนบท (ทช.) เพื่อทำถนนสนับสนุนการเดินทางด้วย

นายศักดิ์สยาม กล่าวต่อว่า จากผลการศึกษาเบื้องต้น พบว่า การพัฒนาชายฝั่ง เสริมชายหาดจะได้ผลตอบแทนกลับมาถึง 37 เท่า คุ้มค่าต่อการลงทุน แม้ว่าจะไม่ได้เกิดประโยชน์โดยตรงกับ จท. แต่เรื่องนี้เป็นผลพวงที่จะทำให้เศรษฐกิจหมุนเวียน การพัฒนาทางน้ำจะช่วยเศรษฐกิจของประเทศ เป็นเรื่องที่ใหญ่มาก แต่เรายังไม่ได้เข้ามาทำอย่างจริงจัง ขณะเดียวกัน จท. ต้องเร่งพัฒนาท่าเรือมารีน่าเพิ่มเติม เพื่อสร้างโอกาสให้กับการท่องเที่ยวทางน้ำ เป็นจุดจอดเรือสำราญ และเรือยอชท์ ซึ่งปัจจุบันในพื้นที่ชลบุรีมีท่าเรือมารีน่าอยู่แล้ว 1 แห่งเป็นของเอกชน แต่ได้สั่งการให้เพิ่มการพัฒนาท่าเรือมารีน่าในพื้นที่ทะเลฝั่งอันดามันเพิ่มเติมอีก 5 แห่ง อาทิ เกาะสมุย ซึ่งหาก จท. สามารถมองหาพื้นที่พัฒนาเรื่องนี้เพิ่มเติมได้จะสร้างโอกาสเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ จท. ต้องทำงานร่วมกับการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) และอยากให้ไปหารือกับเอกชน เพื่อศึกษาการทำท่าเรือมารีน่า ต้องดูว่าเอกชนจะมาร่วมอย่างไร เพราะการทำท่าเรือไม่ได้เพื่อรองรับจุดจอดเรืออย่างเดียว แต่ยังมีพื้นที่หลังท่าเรือที่จะพัฒนาเป็นอย่างอื่นได้อีก เรื่องนี้หากทำได้จะเป็นตัวอย่างที่ดี เบื้องต้นทราบว่ามีเอกชนทั้งไทย และต่างชาติสนใจร่วมลงทุนพัฒนาท่าเรือมารีน่าในไทย อาทิ อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน อิตาลี และจีน เป็นต้น 

นายศักดิ์สยาม กล่าวด้วยว่า อย่างไรก็ตามนอกจากการพัฒนาศักยภาพการคมนาคมทางน้ำแล้ว ตนได้กำชับให้ จท.ศึกษาแนวทางการพัฒนาโครงการต่างๆ ด้วยข้อจำกัดด้านงบประมาณของรัฐบาล ที่ต้องเอาไปแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ดังนั้นอยากให้ จท. บูรณาการร่วมกันกับ กทท.เพื่อจัดสรรงบประมาณมาพัฒนาการคมนาคมทางน้ำ อีกทั้งขอให้ทบทวนเรื่องการบังคับใช้กฎหมาย ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน