สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา เมื่อวันที่ 11 ธ.ค.ว่าสมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา กล่าวถึงการที่สหรัฐใช้มาตรการปิดล้อมด้านอาวุธ และจำกัดการส่งออกสินค้า ตลอดจนบริการที่เกี่ยวข้องให้แก่กัมพูชา โดยมาตรการทั้งหมดมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 9 ธ.ค.ที่ผ่านมา ว่าสำหรับเขา เรื่องนี้ถือเป็น “คำเตือน” ไปยังนักการเมืองรุ่นต่อไป และรัฐบาลกัมพูชาในอนาคต ว่าหากต้องการมีนโยบายกลาโหมที่เป็นอิสระ “อย่าซื้ออาวุธของสหรัฐ”


ยิ่งไปกว่านั้น “ประเทศที่ใช้อาวุธของสหรัฐเป็นฝ่ายพ่ายแพ้สงครามมานักต่อนักแล้ว” โดยผู้นำกัมพูชายกตัวอย่างอัฟกานิสถาน ซึ่งกลุ่มตาลีบันสามารถกลับมายึดครองอำนาจได้เป็นครั้งแรก ในรอบ 20 ปี เมื่อเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา ท่ามกลางความวุ่นวายในการถอนทหารและการอพยพของสหรัฐ


สมเด็จฮุน เซน กล่าวต่อไปว่า ด้วยเหตุนี้ เขามีคำสั่งตรงไปยังหน่วยงานทุกแห่งที่เกี่ยวข้อง ให้เร่งตรวจสอบคุณภาพของอาวุธยุทโธปกรณ์ทั้งหมดในคลังแสง แยกเฉพาะที่เป็นของสหรัฐออกมา นำไปเก็บในโกดังหรือทำลายทิ้ง “ด้วยเหตุผลด้านคุณภาพ”


ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศในกรุงวอชิงตัน และสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐประจำกรุงพนมเปญ ยังไม่มีความเห็นอย่างเป็นทางการ ต่อท่าทีล่าสุดของสมเด็จฮุน เซน แต่ก่อนหน้านั้น ให้เหตุผลประกอบเรื่องนี้ ว่าเนื่องจากการที่กัมพูชา “เปิดโอกาสทางทหาร” ให้แก่จีน ในการขยายอิทธิพล และใช้งานทรัพยากรในฐานทัพซึ่งอยู่ใกล้กับอ่าวไทยนั้น “ไม่สอดคล้องกับผลประโยชน์ด้านความมั่นคง และการดำเนินนโยบายต่างประเทศของสหรัฐ” และสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนในกัมพูชา “ที่ยังคงน่าวิตกกังวล”


แม้ไม่มีการระบุโดยตรง แต่ทุกฝ่ายทราบดีว่า สหรัฐหมายถึงฐานทัพเรือเรียม ฐานทัพขนาดใหญ่ที่สุดในกัมพูชา ตั้งอยู่ที่จังหวัดพระสีหนุ หรือสีหนุวิลล์ ริมชายฝั่งทางตะวันตกเฉียงใต้ ติดกับอ่าวไทย ตลอดเวลาที่ผ่านมา สมเด็จฮุน เซน ยืนกรานปฏิเสธการให้จีน “แสวงหาโอกาส” จากฐานทัพแห่งนี้ แต่รัฐบาลวอชิงตันไม่เชื่อ และ “กังวล” การที่กัมพูชารื้อถอนสิ่งก่อสร้างที่สหรัฐสร้างไว้ให้ภายในฐานทัพด้วย.

เครดิตภาพ : AP